ฮีบรู 9

การนมัสการในพลับพลาของโลกนี้

1 พันธสัญญาแรกนั้นมีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการนมัสการและมีสถานนมัสการของโลกนี้

2 พลับพลาถูกตั้งขึ้น ในห้องแรกมีคันประทีป โต๊ะและขนมปังเบื้องพระพักตร์ เรียกห้องนี้ว่าวิสุทธิสถาน

3 หลังม่านชั้นที่สองคือห้องซึ่งเรียกว่า อภิสุทธิสถาน

4 ในห้องนี้มีแท่นทองคำสำหรับเผาเครื่องหอมและหีบพันธสัญญาหุ้มด้วยทองคำ ซึ่งภายในหีบมีภาชนะทองคำบรรจุมานา ไม้เท้าของอาโรนซึ่งผลิตาออกมา และแผ่นศิลาแห่งพันธสัญญา

5 เหนือหีบนั้นมีรูปปั้นของเครูบแห่งองค์ผู้ทรงพระเกียรติสิริ ปีกของเครูบกางออกคลุมฝาหีบซึ่งเป็นที่ลบมลทินบาปแต่เราไม่อาจจะกล่าวถึงรายละเอียดของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ในตอนนี้

6 เมื่อจัดทุกสิ่งตามนี้แล้ว เหล่าปุโรหิตก็เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในห้องชั้นนอกเป็นกิจวัตร

7 แต่มีเพียงมหาปุโรหิตเท่านั้นที่เข้าสู่ห้องชั้นในปีละครั้ง และต้องนำเลือดเข้าไปถวายเพื่อตัวเองและเพื่อบาปโดยไม่เจตนาของเหล่าประชากร

8 พระวิญญาณทรงสำแดงโดยสิ่งเหล่านี้ว่า ตราบใดที่พลับพลาแรกยังตั้งอยู่ ทางเข้าสู่อภิสุทธิสถานก็ยังไม่เปิด

9 นี่เป็นภาพสำหรับยุคปัจจุบัน บ่งชี้ว่าของถวายและเครื่องบูชาเหล่านั้นไม่สามารถชำระจิตสำนึกของผู้นมัสการได้

10 สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องของอาหาร เครื่องดื่ม และการชำระต่างๆ ตามระเบียบพิธี ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติภายนอกจนกว่าจะถึงเวลาของระบบใหม่

พระโลหิตของพระคริสต์

11 เมื่อพระคริสต์ทรงมาในฐานะมหาปุโรหิตแห่งสิ่งประเสริฐต่างๆ ซึ่งได้มาถึงแล้วพระองค์ทรงผ่านเข้าสู่พลับพลาที่ยิ่งใหญ่กว่าและสมบูรณ์กว่า ซึ่งไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ กล่าวคือไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ทรงสร้างนี้

12 พระองค์ไม่ได้ทรงเข้าไปด้วยเลือดแพะหรือเลือดวัว แต่พระองค์ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถานด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เพียงครั้งเดียวเป็นพอและได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา

13 เลือดแพะเลือดวัวหรือเถ้าถ่านจากวัวตัวเมียที่ประพรมลงบนผู้มีมลทินตามระเบียบพิธีได้ชำระเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อเขาจะสะอาดภายนอก

14 แล้วยิ่งกว่านั้นสักเพียงใดพระโลหิตของพระคริสต์ผู้ถวายพระองค์เองอย่างปราศจากตำหนิแด่พระเจ้าโดยทางพระวิญญาณนิรันดร์ ย่อมชำระจิตสำนึกของเราจากการกระทำอันนำไปสู่ความตายเพื่อเราจะได้รับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่!

15 ด้วยเหตุนี้พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ เพื่อบรรดาผู้ที่ทรงเรียกนั้นจะได้รับมรดกนิรันดร์ซึ่งทรงสัญญาไว้ เพราะพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เป็นค่าไถ่เพื่อปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระจากบาปซึ่งได้ทำภายใต้พันธสัญญาแรก

16 ในกรณีของพินัยกรรมจำเป็นต้องพิสูจน์ว่าผู้ทำพินัยกรรมนั้นสิ้นชีวิตแล้ว

17 เพราะพินัยกรรมจะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อผู้ทำตายแล้ว หากผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่พินัยกรรมจะไม่มีผลอะไร

18 ด้วยเหตุนี้แม้แต่พันธสัญญาแรกจะมีผลบังคับใช้ก็ต้องมีเลือด

19 เมื่อโมเสสประกาศบทบัญญัติทุกข้อแก่เหล่าประชากรทั้งปวงแล้ว เขาก็นำเลือดลูกวัวพร้อมด้วยน้ำ ขนแกะสีแดงและกิ่งหุสบมาประพรมหนังสือม้วนและเหล่าประชากร

20 เขากล่าวว่า “นี่คือเลือดแห่งพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาให้ท่านทั้งหลายรักษา”

21 และเขาใช้เลือดประพรมพลับพลาและทุกสิ่งที่ใช้ในพิธีต่างๆ เช่นเดียวกัน

22 อันที่จริงบทบัญญัติระบุให้ชำระแทบทุกสิ่งด้วยเลือด และถ้าไม่มีการหลั่งเลือดก็ไม่มีการอภัยบาป

23 ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องชำระสิ่งต่างๆ อันเป็นแบบจำลองของสวรรค์ด้วยเครื่องบูชาเหล่านี้ ส่วนของในสวรรค์เองต้องชำระด้วยเครื่องบูชาที่ดียิ่งกว่า

24 เพราะพระคริสต์ไม่ได้เข้าสู่สถานนมัสการที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งเป็นเพียงแบบจำลองมาจากของแท้ พระองค์ทรงเข้าสู่สวรรค์โดยตรง บัดนี้ทรงปรากฏต่อหน้าพระเจ้าเพื่อเราทั้งหลาย

25 ทั้งไม่ได้ทรงเข้าสู่สวรรค์เพื่อถวายพระองค์เองซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบที่มหาปุโรหิตเข้าสู่อภิสุทธิสถานทุกๆ ปีพร้อมด้วยเลือดซึ่งไม่ใช่เลือดของตัวเอง

26 หากเป็นเช่นนั้นพระคริสต์คงต้องทนทุกข์ทรมานหลายครั้งนับตั้งแต่ทรงสร้างโลก แต่บัดนี้พระองค์ทรงปรากฏในปลายยุคเพียงครั้งเดียวเป็นพอ เพื่อกำจัดบาปให้หมดสิ้นโดยถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา

27 เหมือนที่มนุษย์ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียว หลังจากนั้นต้องพบกับการพิพากษา

28 พระคริสต์ก็ทรงถวายพระองค์เองครั้งเดียวเพื่อลบล้างบาปของประชาชนเป็นอันมาก และพระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพื่อรับแบกบาปแต่เพื่อนำความรอดมายังบรรดาผู้ซึ่งรอคอยพระองค์

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/HEB/9-d433543517238e968ddb5518ce4e87fd.mp3?version_id=179—

ฮีบรู 10

พระคริสต์ทรงเป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวพอ

1 บทบัญญัติเป็นแต่เพียงเงาของสิ่งประเสริฐซึ่งจะมาถึง ไม่ใช่ของจริง เพราะเหตุนี้จึงไม่สามารถทำให้ผู้เข้าเฝ้านมัสการสมบูรณ์พร้อมด้วยเครื่องบูชาเดิมๆ ซึ่งถวายซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกๆ ปีไม่มีสิ้นสุด

2 เพราะถ้าทำเช่นนั้นได้ เขาจะไม่หยุดถวายเครื่องบูชาหรือ? เพราะผู้นมัสการจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เพียงครั้งเดียวเป็นพอ และจะไม่รู้สึกผิดกับบาปของเขาอีกต่อไป

3 แต่เครื่องบูชาเหล่านั้นเป็นสิ่งเตือนให้สำนึกบาปทุกปี

4 เพราะเลือดแพะเลือดวัวไม่สามารถลบล้างบาปให้สิ้นไป

5 ฉะนั้นเมื่อพระคริสต์ทรงเข้ามาในโลก พระองค์ตรัสว่า

“พระองค์ไม่ได้ทรงประสงค์เครื่องบูชาและของถวาย

แต่ทรงเตรียมกายหนึ่งไว้สำหรับข้าพระองค์

6 พระองค์ไม่ได้พอพระทัยเครื่องเผาบูชา

และเครื่องบูชาไถ่บาป

7 แล้วข้าพระองค์ทูลว่า ‘ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ ในหนังสือม้วนได้เขียนถึงข้าพระองค์ไว้

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มาแล้วเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์’ ”

8 พระองค์ตรัสเป็นประการแรกว่า “พระองค์ไม่ได้ทรงประสงค์เครื่องบูชาและของถวาย เครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาไถ่บาป ทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงพอพระทัยในสิ่งเหล่านั้น” (แม้บทบัญญัติกำหนดให้ทำเช่นนั้น)

9 จากนั้นจึงตรัสว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ ข้าพระองค์มาแล้วเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์” พระองค์ทรงยกเลิกระบบแรกเพื่อตั้งระบบที่สอง

10 และโดยพระประสงค์นี้เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ

11 วันแล้ววันเล่าที่ปุโรหิตทุกคนยืนปฏิบัติศาสนกิจ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาถวายเครื่องบูชาแบบเดียวกันซึ่งไม่สามารถลบล้างบาปให้สิ้นไปได้เลย

12 แต่เมื่อปุโรหิตองค์นี้ถวายเครื่องบูชาลบล้างบาปครั้งเดียวสำหรับตลอดไปแล้ว ก็ประทับลงที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

13 นับแต่นั้นมาพระองค์ทรงรอคอยจนกว่าเหล่าศัตรูของพระองค์จะถูกทำให้เป็นแท่นวางพระบาทของพระองค์

14 เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้นบรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์โดยการถวายบูชาครั้งเดียว

15 พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังทรงยืนยันข้อนี้แก่เราด้วย พระองค์ตรัสเป็นประการแรกว่า

16 “นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับเขาทั้งหลายหลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในหัวใจของพวกเขา

และจะจารึกบทบัญญัตินั้นบนจิตใจของพวกเขา”

17 “บาปและการอธรรมของพวกเขา

เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

18 และเมื่อทรงอภัยบาปให้แล้วก็ไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชาสำหรับไถ่บาปอีกเลย

เรียกร้องให้บากบั่น

19 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย ในเมื่อเรามั่นใจที่จะเข้าสู่อภิสุทธิสถานโดยพระโลหิตของพระเยซู

20 โดยหนทางใหม่อันมีชีวิตซึ่งเปิดให้เราผ่านม่านคือพระกายของพระองค์

21 และในเมื่อเรามีองค์ปุโรหิตยิ่งใหญ่เหนือพระนิเวศของพระเจ้า

22 ก็ให้เราเข้าใกล้พระเจ้าด้วยใจจริงและมั่นใจอย่างเต็มที่ในความเชื่อ โดยที่จิตใจของเราได้รับการประพรมเพื่อชำระเราให้หมดจดจากจิตสำนึกที่ฟ้องร้องว่าตนผิด และกายของเราได้รับการชำระล้างด้วยน้ำบริสุทธิ์แล้ว

23 ให้เรายึดมั่นอย่างไม่คลอนแคลนในความหวังใจซึ่งเราประกาศรับไว้เพราะพระองค์ผู้ทรงสัญญานั้นทรงสัตย์ซื่อ

24 และให้เราพิจารณาดูว่าเราจะปลุกใจซึ่งกันและกันให้มุ่งสู่ความรักและการกระทำที่ดีได้อย่างไร

25 อย่าให้เราขาดการประชุมเหมือนที่บางคนทำเป็นประจำ แต่ให้เราให้กำลังใจกันมากยิ่งขึ้น และทำเช่นนั้นให้มากยิ่งขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าวันนั้นใกล้เข้ามาทุกที

26 หลังจากรู้ความจริงแล้ว ถ้าเรายังขืนทำบาปโดยเจตนาต่อไปอีกก็จะไม่เหลือเครื่องบูชาลบบาปใดๆ

27 มีแต่รอคอยด้วยความหวาดกลัวถึงการพิพากษาและไฟร้อนแรงซึ่งจะเผาผลาญบรรดาศัตรูของพระเจ้า

28 คนใดฝ่าฝืนบทบัญญัติของโมเสส หากมีพยานสองหรือสามคนยังต้องตายโดยปราศจากความเมตตา

29 ท่านคิดว่าผู้ที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า ทำราวกับว่าพระโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งชำระเขาให้บริสุทธิ์นั้นไม่ศักดิ์สิทธิ์และลบหลู่พระวิญญาณแห่งพระคุณ สมควรจะรับโทษหนักมากกว่านั้นสักเพียงใด?

30 เพราะเรารู้จักพระองค์ผู้ตรัสว่า “การแก้แค้นเป็นหน้าที่ของเราเอง เราจะคืนสนอง”และว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพิพากษาประชากรของพระองค์”

31 การตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่นั้นน่ากลัวนัก

32 จงระลึกถึงวันก่อนๆ หลังจากท่านได้รับความสว่าง เมื่อท่านยืนหยัดมั่นคงยามถูกต่อต้านอย่างหนักในท่ามกลางความทุกข์ยาก

33 บางครั้งท่านถูกประจานให้ได้อายและถูกข่มเหง บางทีท่านก็ยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ที่ถูกเขาทำเช่นนั้นด้วย

34 ท่านเห็นใจผู้ที่ถูกจองจำ และเมื่อถูกยึดทรัพย์สินท่านก็ยอมรับอย่างชื่นบาน เพราะท่านรู้ว่าท่านเองมีทรัพย์สมบัติถาวรซึ่งดียิ่งกว่านั้นอีก

35 ฉะนั้นอย่าทิ้งความมั่นใจของท่าน สิ่งนี้จะได้รับบำเหน็จอันยิ่งใหญ่

36 ท่านทั้งหลายต้องอดทนบากบั่น เพื่อว่าเมื่อท่านได้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว ท่านจะได้รับสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้

37 เพราะ

“เพียงครู่เดียว

พระองค์ผู้กำลังเสด็จมาจะเสด็จมาและจะไม่ทรงล่าช้า

38 แต่ผู้ชอบธรรมของเราจะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ

และหากเขาเสื่อมถอย

เราจะไม่พอใจเขา”

39 ส่วนพวกเราไม่ใช่ผู้ที่เสื่อมถอยและถูกทำลาย แต่เป็นผู้ที่เชื่อและได้รับการช่วยให้รอด

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/HEB/10-8d44769729035eb17c149327dea15662.mp3?version_id=179—

ฮีบรู 11

โดยความเชื่อ

1 ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น

2 เพราะความเชื่อนี้เองที่คนในสมัยก่อนได้รับการทรงชมเชย

3 โดยความเชื่อเราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้นโดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นอยู่จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา

4 โดยความเชื่ออาแบลถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าซึ่งดีกว่าของคาอิน โดยความเชื่ออาแบลได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ชอบธรรมเมื่อพระเจ้าทรงชมเชยสิ่งที่เขาถวาย และโดยความเชื่อเขาจึงยังพูดอยู่ทั้งๆ ที่เขาตายแล้ว

5 โดยความเชื่อเอโนคจึงถูกรับขึ้นไปเพื่อจะไม่ต้องประสบความตาย ไม่มีผู้ใดพบเขาเพราะพระเจ้าทรงรับเขาไปแล้ว เพราะก่อนหน้านั้นเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่พระเจ้าพอพระทัย

6 ถ้าไม่มีความเชื่อก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย เพราะผู้ที่จะมาหาพระเจ้าต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่และประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง

7 โดยความเชื่อเมื่อโนอาห์ได้รับคำเตือนถึงเรื่องต่างๆ ที่ยังมองไม่เห็น ด้วยความเกรงกลัวพระเจ้าเขาจึงได้ต่อเรือใหญ่เพื่อช่วยครอบครัวให้รอด โดยความเชื่อของเขา เขาได้ตัดสินโทษโลกและได้กลายเป็นทายาทแห่งความชอบธรรมที่มีมาโดยความเชื่อ

8 โดยความเชื่อเมื่ออับราฮัมได้รับการทรงเรียกให้ไปยังสถานที่ซึ่งเขาจะได้รับเป็นมรดกในภายหลัง เขาก็เชื่อฟังและออกเดินทางถึงแม้เขาไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน

9 โดยความเชื่อเขาอาศัยในดินแดนพระสัญญาเยี่ยงคนต่างด้าวในต่างแดน ใช้ชีวิตอยู่ในเต็นท์เช่นเดียวกับอิสอัคและยาโคบผู้เป็นทายาทร่วมในพระสัญญาเดียวกันกับเขา

10 เพราะเขาหมายมุ่งนครซึ่งตั้งอยู่บนฐานรากอันมีพระเจ้าทรงเป็นสถาปนิกและผู้สร้าง

11 โดยความเชื่อแม้อับราฮัมชรามากแล้วและซาราห์เองก็เป็นหมัน เขาก็ยังสามารถมีบุตรได้ เพราะเขาถือว่าพระองค์ผู้ทรงสัญญานั้นสัตย์ซื่อ

12 ดังนั้นจากชายคนเดียวนี้ซึ่งเป็นเหมือนคนที่ตายแล้วก็เกิดมีลูกหลานสืบเชื้อสายมากมายดั่งดวงดาวในท้องฟ้า และดั่งเม็ดทรายนับไม่ถ้วนที่ชายฝั่งทะเล

13 คนทั้งปวงเหล่านี้ตายไปขณะที่ดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ พวกเขาไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ เพียงแต่ได้เห็นและเตรียมรับแต่ไกลและยอมรับว่าพวกเขาเป็นเพียงคนต่างถิ่นและคนแปลกหน้าในโลกนี้

14 คนที่พูดอย่างนี้แสดงให้เห็นว่ากำลังมองหาบ้านเมืองที่จะเป็นของตน

15 หากพวกเขาคิดถึงบ้านเมืองที่จากมาก็ย่อมมีโอกาสที่จะกลับไปได้

16 แต่นี่พวกเขาใฝ่หาบ้านเมืองซึ่งดีกว่าคือเมืองสวรรค์ เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงไม่ได้ทรงละอายเมื่อพวกเขาเรียกพระองค์ว่าพระเจ้าของพวกเขา เพราะพระองค์ทรงจัดเตรียมเมืองหนึ่งไว้ให้พวกเขาแล้ว

17 โดยความเชื่อเมื่อพระเจ้าทรงทดสอบอับราฮัม เขาก็ถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา เขาผู้ได้รับพระสัญญาพร้อมที่จะถวายบุตรชายเพียงคนเดียวของตน

18 แม้พระเจ้าได้ตรัสกับเขาว่า “วงศ์วานของเจ้าจะนับทางสายอิสอัค”

19 อับราฮัมเชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถให้คนตายกลับเป็นขึ้นมาได้ กล่าวเปรียบเทียบได้ว่าเขาได้อิสอัคคืนมาจากความตาย

20 โดยความเชื่ออิสอัคอวยพรให้ยาโคบกับเอซาวสำหรับอนาคตของพวกเขา

21 โดยความเชื่อเมื่อยาโคบกำลังจะตายจึงอวยพรบุตรแต่ละคนของโยเซฟ และนมัสการขณะยันกายบนหัวไม้เท้าของเขา

22 โดยความเชื่อเมื่อใกล้ตายโยเซฟจึงกล่าวถึงการอพยพออกจากอียิปต์ของชนอิสราเอล และสั่งความเรื่องกระดูกของเขา

23 โดยความเชื่อบิดามารดาของโมเสสซ่อนเขาไว้ถึงสามเดือนหลังจากคลอด เนื่องจากเห็นว่าเขาแตกต่างจากเด็กอื่นทั่วไป และทั้งสองไม่กลัวคำสั่งของกษัตริย์เลย

24 โดยความเชื่อเมื่อโมเสสเติบโตขึ้นก็ปฏิเสธฐานะบุตรของธิดาฟาโรห์

25 เขาเลือกที่จะถูกข่มเหงร่วมกับเหล่าประชากรของพระเจ้าแทนการเริงสำราญเพียงชั่วคราวในบาป

26 เขาถือว่าการยอมเสื่อมเสียเพื่อพระคริสต์ยังล้ำค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายของอียิปต์ เพราะเขามองไปข้างหน้าถึงบำเหน็จของเขา

27 โดยความเชื่อเขาออกจากอียิปต์โดยไม่กลัวพระพิโรธของกษัตริย์ เขาอดทนบากบั่นเพราะเขาได้เห็นพระเจ้าผู้ซึ่งไม่อาจมองเห็นได้

28 โดยความเชื่อเขาถือปัสกาและการประพรมเลือด เพื่อเพชฌฆาตผู้ประหารบุตรหัวปีจะไม่มาแตะต้องลูกหัวปีของอิสราเอล

29 โดยความเชื่อเหล่าประชากรข้ามทะเลแดงราวกับเดินบนพื้นแห้ง แต่เมื่อชาวอียิปต์พยายามจะข้ามบ้าง พวกเขาก็จมน้ำตาย

30 โดยความเชื่อกำแพงเมืองเยรีโคจึงพังลงหลังจากเหล่าประชากรเดินรอบกำแพงเป็นเวลาเจ็ดวัน

31 โดยความเชื่อราหับหญิงโสเภณีจึงไม่ถูกฆ่าไปพร้อมกับบรรดาผู้ไม่เชื่อฟังเพราะนางได้ต้อนรับlสายสืบ

32 และข้าพเจ้าจะว่าอะไรอีก ข้าพเจ้าไม่มีเวลาพอที่จะกล่าวถึงกิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด ซามูเอล และบรรดาผู้เผยพระวจนะต่างๆ

33 ผู้ซึ่งโดยทางความเชื่อได้พิชิตอาณาจักรต่างๆ ได้ให้ความยุติธรรม และได้รับสิ่งซึ่งทรงสัญญาไว้ ผู้ได้ปิดปากสิงห์

34 ได้ดับเปลวไฟร้อนแรง และได้แคล้วคลาดจากคมดาบ ผู้ซึ่งความอ่อนแอของเขากลับเป็นความเข้มแข็ง และผู้ได้กลายเป็นคนแข็งกล้าในการสงคราม และได้ไล่ล่ากองทัพจากต่างแดน

35 พวกผู้หญิงได้รับคนของพวกนางซึ่งเป็นขึ้นจากตาย คนอื่นๆ ถูกทรมานและไม่ยอมรับการปลดปล่อยเพื่อจะได้การเป็นขึ้นจากตายที่ดียิ่งกว่า

36 บางคนถูกเย้ยเยาะโบยตี ขณะที่บางคนถูกตีตรวนและจำคุก

37 บางคนถูกขว้างด้วยก้อนหินจนตายบางคนถูกเลื่อยเป็นสองท่อน บางคนตายด้วยคมดาบ บางคนนุ่งห่มหนังแพะหนังแกะ สิ้นเนื้อประดาตัว ถูกข่มเหงและถูกย่ำยี

38 แผ่นดินโลกไม่ควรค่ากับคนเช่นนี้เลย พวกเขาร่อนเร่ไปตามถิ่นกันดาร ตามภูเขาต่างๆ หรือในถ้ำในโพรง

39 คนเหล่านี้ล้วนได้รับการยกย่องในความเชื่อของพวกเขา แต่ก็ยังไม่มีคนใดได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้

40 พระเจ้าทรงวางแผนเตรียมสิ่งที่ดีกว่าไว้สำหรับเรา เพื่อพวกเขาจะได้รับความสมบูรณ์พร้อมร่วมกับเราทั้งหลายเท่านั้น

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/HEB/11-88bd8b5a7f3481ab6bc6c424d18dbb0e.mp3?version_id=179—

ฮีบรู 12

1 เพราะฉะนั้นในเมื่อเรามีพยานหมู่ใหญ่พรั่งพร้อมรอบด้านเช่นนี้แล้ว ก็ให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่และบาปที่เกาะแน่น ให้เราวิ่งด้วยความอดทนบากบั่นไปตามลู่ที่ทรงกำหนดไว้สำหรับเรา

2 ให้เราเพ่งมองที่พระเยซูผู้ทรงลิขิตความเชื่อและทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ทรงทนรับกางเขนและไม่ใส่พระทัยในความอัปยศของไม้กางเขนเพราะเห็นแก่ความชื่นชมยินดีที่อยู่เบื้องหน้า และพระองค์ได้ประทับที่เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า

3 ท่านทั้งหลายจงใคร่ครวญถึงพระองค์ผู้ทรงทนการต่อต้านเช่นนั้นจากคนบาป เพื่อว่าท่านจะได้ไม่อ่อนล้าและท้อแท้ใจ

พระเจ้าทรงตีสอนบุตรของพระองค์

4 ในการขับเคี่ยวกับบาป ท่านยังไม่ได้ต่อสู้จนถึงกับหลั่งเลือด

5 และท่านได้ลืมถ้อยคำให้กำลังใจซึ่งมีมาถึงท่านในฐานะบุตรว่า

“ลูกเอ๋ย อย่าละเลยการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า

อย่าท้อใจเมื่อพระองค์ทรงตำหนิท่าน

6 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก

และทรงลงโทษทุกคนที่ทรงรับเป็นบุตร”

7 จงทนความทุกข์ยากโดยถือเสมือนว่าเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะบุตร เพราะบุตรคนไหนบ้างที่บิดาไม่เคยตีสอน?

8 หากท่านไม่ถูกตีสอน (และทุกคนได้รับการตีสอน) ท่านก็เป็นบุตรนอกกฎหมายและไม่ใช่บุตรแท้

9 ยิ่งไปกว่านั้นเราทั้งปวงล้วนมีบิดาซึ่งเป็นมนุษย์ผู้ตีสอนเราและเราเคารพนับถือท่านที่ทำเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใดที่เราควรอยู่ในโอวาทของพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของเราและมีชีวิตอยู่!

10 บิดาของเราตีสอนเราชั่วระยะหนึ่งตามที่คิดเห็นว่าดีที่สุด แต่พระเจ้าทรงตีสอนเราเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อเราจะได้มีส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์

11 ไม่มีการตีสอนใดดูน่าชื่นใจในเวลานั้น มีแต่จะเจ็บปวด แต่ภายหลังจะเกิดผลเป็นความชอบธรรมและสันติสุขแก่บรรดาผู้รับการฝึกฝนโดยการตีสอนนั้น

12 เพราะฉะนั้นจงทำให้แขนที่อ่อนแรงและเข่าที่อ่อนล้าเข้มแข็งขึ้น

13 “จงทำทางที่ราบเรียบสำหรับเท้าของท่าน”เพื่อคนง่อยจะไม่พิการแต่กลับเป็นปกติดี

เตือนไม่ให้ปฏิเสธพระเจ้า

14 จงเพียรพยายามที่จะอยู่อย่างสงบสุขร่วมกับคนทั้งปวงและเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้วก็ไม่มีใครจะได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย

15 จงระวังอย่าให้ใครพลาดไปจากพระคุณของพระเจ้า และอย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมาสร้างความเดือดร้อน และทำให้คนเป็นอันมากแปดเปื้อนมลทิน

16 จงระวัง อย่าให้ใครผิดศีลธรรมทางเพศ หรือไม่อยู่ในทางพระเจ้าแบบเอซาวผู้ขายสิทธิบุตรหัวปีแลกกับอาหารมื้อเดียว

17 ท่านทั้งหลายทราบอยู่ว่าในภายหลังเมื่อเอซาวต้องการรับพรนี้เป็นมรดกก็ถูกปฏิเสธ เขาไม่อาจแก้ไขอะไรได้แม้เขาจะแสวงหาพรนั้นด้วยน้ำตา

18 ท่านทั้งหลายไม่ได้มายังภูเขาที่จับต้องได้และที่ลุกเป็นไฟ ไม่ได้มายังความมืด ความมืดมนและพายุ

19 ไม่ได้มายังเสียงแตรกระหึ่มหรือพระสุรเสียงตรัสซึ่งบรรดาผู้ที่ได้ยินแล้ววอนขออย่าได้ตรัสคำใดๆ กับเขาอีก

20 เพราะพวกเขาไม่อาจทนกับคำบัญชาที่ว่า “แม้แต่สัตว์ที่แตะต้องภูเขานั้นก็จะต้องถูกหินขว้างตาย”

21 สิ่งที่เห็นนั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนักจนโมเสสกล่าวว่า “ข้าพเจ้ากลัวจนตัวสั่น”

22 แต่ท่านทั้งหลายได้มาถึงภูเขาศิโยน คือถึงนครของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ คือเยรูซาเล็มแห่งสวรรค์ ท่านได้มาถึงที่ซึ่งทูตสวรรค์มากมายได้ชุมนุมกันอย่างร่าเริงยินดี

23 มาสู่คริสตจักรแห่งบุตรหัวปีผู้มีชื่อจารึกไว้ในสวรรค์ ท่านได้มาถึงพระเจ้าผู้ทรงพิพากษามวลมนุษย์ มายังวิญญาณจิตของคนชอบธรรมซึ่งทรงทำให้สมบูรณ์แล้ว

24 มาสู่พระเยซูผู้ทรงเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ และมาถึงโลหิตประพรมซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่ดียิ่งกว่าโลหิตของอาแบล

25 จงระวังอย่าปฏิเสธพระองค์ผู้ตรัสอยู่ ถ้าพวกเขายังหนีไม่พ้นเมื่อปฏิเสธพระองค์ผู้ตรัสเตือนในโลก เราย่อมจะหนีไม่พ้นยิ่งขึ้นเพียงใดหากเราหันหนีพระองค์ผู้ทรงเตือนเราจากสวรรค์?

26 ครั้งนั้นพระสุรเสียงของพระองค์ทำให้โลกสะเทือนสะท้าน แต่บัดนี้พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่า “เราจะไม่เพียงเขย่าโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง แต่จะเขย่าฟ้าสวรรค์ด้วย”

27 คำว่า “อีกครั้งหนึ่ง” บ่งบอกว่าสิ่งที่สั่นคลอนได้คือสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นนั้นจะถูกขจัดทิ้ง เพื่อให้เหลืออยู่แต่สิ่งที่ไม่สั่นคลอน

28 เพราะฉะนั้นในเมื่อเรากำลังได้รับอาณาจักรอันไม่อาจสั่นคลอนได้ ก็ให้เราขอบพระคุณและนมัสการพระเจ้าอย่างที่ทรงพอพระทัย ด้วยความยำเกรงและด้วยความครั่นคร้าม

29 เพราะว่า “พระเจ้าทรงเป็นไฟอันเผาผลาญ”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/HEB/12-7328304d28e07f0fac4575dcf9215ff8.mp3?version_id=179—

ฮีบรู 13

คำแนะนำสุดท้าย

1 จงรักกันฉันพี่น้องสืบต่อไป

2 อย่าลืมที่จะต้อนรับแขกแปลกหน้า เพราะโดยการทำเช่นนั้นบางคนได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว

3 จงระลึกถึงบรรดาผู้ถูกจองจำอยู่เสมือนว่าท่านถูกจองจำร่วมกันกับเขา และจงระลึกถึงคนทั้งหลายที่ถูกข่มเหงราวกับว่าท่านเองกำลังทนทุกข์อยู่

4 จงให้การแต่งงานเป็นที่นับถือสำหรับคนทั้งปวงและรักษาเตียงสมรสให้บริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าจะทรงพิพากษาโทษคนล่วงประเวณีและคนทั้งปวงที่ผิดศีลธรรมทางเพศ

5 จงรักษาชีวิตของท่านให้เป็นอิสระจากการรักเงินทองและจงพอใจในสิ่งที่ตนมี เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า

“เราจะไม่มีวันทอดทิ้งท่าน

เราจะไม่มีวันละทิ้งท่าน”

6 ดังนั้นเราจึงกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า

“องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยเหลือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว

มนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า?”

7 จงระลึกถึงบรรดาผู้นำของท่าน ผู้ได้กล่าวพระวจนะของพระเจ้าแก่ท่าน จงพิจารณาดูผลลัพธ์ของวิถีชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นแล้วตามอย่างความเชื่อของพวกเขา

8 พระเยซูคริสต์ทรงเป็นเหมือนเดิมเสมอ ทั้งเมื่อวานนี้ วันนี้ และสืบไปนิรันดร์

9 อย่าหลงไปตามสารพันคำสอนแปลกๆ เป็นการดีที่จะให้ใจเราเข้มแข็งขึ้นด้วยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยอาหารตามระเบียบพิธีซึ่งไม่ได้ให้คุณค่าใดๆ แก่ผู้รับประทาน

10 เรามีแท่นบูชาซึ่งผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพลับพลาไม่มีสิทธิ์รับประทานอาหารจากแท่นนั้น

11 มหาปุโรหิตนำเลือดของสัตว์ต่างๆ เข้าไปในอภิสุทธิสถานเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป แต่ร่างของสัตว์เหล่านั้นถูกนำไปเผานอกค่ายพัก

12 พระเยซูก็เช่นกัน พระองค์ทรงทนทุกข์นอกประตูเมืองเพื่อชำระเหล่าประชากรให้บริสุทธิ์ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง

13 ฉะนั้นให้เราทั้งหลายออกไปหาพระองค์ที่นอกค่าย ทนรับความอัปยศที่พระองค์ทรงแบกรับ

14 เพราะที่นี่เราไม่มีนครอันถาวร แต่เรากำลังมองหานครซึ่งจะมาถึง

15 เพราะฉะนั้นให้เราถวายการสรรเสริญเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าโดยทางพระเยซูตลอดไป คือถวายผลแห่งริมฝีปากที่กล่าวยอมรับพระนามของพระองค์

16 อย่าลืมที่จะทำความดีและแบ่งปันร่วมกับผู้อื่นเพราะพระเจ้าพอพระทัยเครื่องบูชาเช่นนี้

17 ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังและยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาผู้นำของท่านซึ่งเฝ้าดูแลท่านในฐานะเป็นผู้ที่ต้องรายงาน จงเชื่อฟังเขาเพื่อเขาจะทำหน้าที่ด้วยความชื่นใจ ไม่ใช่จำใจรับภาระซึ่งไม่เป็นประโยชน์อันใดแก่ท่าน

18 จงอธิษฐานเผื่อเรา เราแน่ใจว่าเรามีจิตสำนึกที่บริสุทธิ์และปรารถนาจะดำเนินชีวิตอย่างน่านับถือในทุกด้าน

19 ข้าพเจ้าขอร้องท่านเป็นพิเศษให้อธิษฐานขอให้ข้าพเจ้าได้กลับมาหาท่านในไม่ช้านี้

20 ขอพระเจ้าแห่งสันติสุขผู้ซึ่งโดยโลหิตแห่งพันธสัญญานิรันดร์ได้ทรงให้พระเยซูเจ้าของเราผู้เป็นองค์พระผู้เลี้ยงผู้ยิ่งใหญ่แห่งฝูงแกะของพระเจ้าเป็นขึ้นจากตายนั้น

21 ทรงให้ท่านทั้งหลายพรั่งพร้อมด้วยทุกสิ่งที่ดีเพื่อจะทำตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอทรงกระทำการในเราทั้งหลายตามที่ชอบพระทัยพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ ขอพระเกียรติสิริมีแด่พระองค์เสมอไปเป็นนิตย์ อาเมน

22 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอให้ท่านอดทนรับฟังคำเตือนสติของข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าเขียนจดหมายเพียงสั้นๆ มาถึงท่าน

23 ข้าพเจ้าขอเรียนให้ท่านทราบว่าทิโมธีน้องของพวกเราได้รับการปล่อยตัวแล้ว หากเขามาถึงเร็วๆ นี้ข้าพเจ้าจะมาหาท่านทั้งหลายพร้อมกับเขา

24 ข้าพเจ้าขอฝากความคิดถึงมายังบรรดาผู้นำของท่านตลอดจนประชากรทั้งปวงของพระเจ้า พวกพี่น้องจากอิตาลีฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย

25 ขอพระคุณดำรงอยู่กับท่านทั้งปวง

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/HEB/13-c1305ac0f05f70a2c5838b37b3b20a25.mp3?version_id=179—

ฟีเลโมน 1

1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นนักโทษเพราะเห็นแก่พระเยซูคริสต์ กับทิโมธีน้องของเรา

ถึงฟีเลโมนเพื่อนและผู้ร่วมงานที่รัก

2 ถึงอัปเฟียน้องสาวของเรา ถึงอารคิปปัสเพื่อนทหารของเรา และถึงคริสตจักรซึ่งมาประชุมกันที่บ้านของท่าน

3 ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเราและองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามีแก่ท่าน

ขอบพระคุณและทูลขอ

4 เมื่อข้าพเจ้านึกถึงท่านในคำอธิษฐาน ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าเสมอ

5 เพราะข้าพเจ้าได้ยินถึงความเชื่อของท่านในองค์พระเยซูเจ้าและความรักที่ท่านมีต่อประชากรทั้งปวงของพระเจ้า

6 ข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ท่านแบ่งปันความเชื่ออย่างแข็งขัน เพื่อท่านจะเข้าใจอย่างถี่ถ้วนถึงสิ่งดีทั้งปวงซึ่งเรามีในพระคริสต์

7 พี่น้องเอ๋ย ความรักของท่านเป็นกำลังใจให้ข้าพเจ้าและทำให้ข้าพเจ้าชื่นชมยินดียิ่งนัก เพราะท่านทำให้ประชากรของพระเจ้าชื่นใจ

เปาโลขอร้องเรื่องโอเนสิมัส

8 ฉะนั้นแม้ว่าในพระคริสต์ข้าพเจ้าอาจจะกล้าสั่งให้ท่านทำสิ่งที่ควรทำ

9 แต่กระนั้นข้าพเจ้าขออ้อนวอนท่านบนพื้นฐานของความรัก ข้าพเจ้าเปาโลผู้เฒ่าชราและบัดนี้ยังเป็นนักโทษเพราะเห็นแก่พระเยซูคริสต์ด้วย

10 ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านเรื่องโอเนสิมัสลูกของข้าพเจ้า เขาได้มาเป็นลูกของข้าพเจ้าขณะข้าพเจ้าถูกจองจำ

11 เมื่อก่อนเขาไม่เป็นประโยชน์แก่ท่าน แต่เดี๋ยวนี้เขาเป็นประโยชน์ทั้งแก่ท่านและข้าพเจ้า

12 ข้าพเจ้าส่งเขาผู้เป็นดวงใจของข้าพเจ้ากลับมาหาท่าน

13 ข้าพเจ้าอยากเก็บเขาไว้กับตัวเพื่อเขาจะได้คอยช่วยเหลือข้าพเจ้าแทนท่านในขณะที่ข้าพเจ้าถูกจำจองเพื่อข่าวประเสริฐ

14 แต่ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะทำสิ่งใดโดยปราศจากความเห็นชอบของท่าน เพื่อว่าไมตรีจิตใดๆ ที่ท่านแสดงจะเป็นไปโดยสมัครใจ ไม่ใช่ถูกบีบบังคับ

15 อาจเป็นได้ว่าเหตุผลที่เขาจากท่านไปชั่วระยะหนึ่งก็เพื่อท่านจะได้เขากลับคืนมาอย่างถาวร

16 ไม่ใช่ในฐานะทาสอีกต่อไป แต่ดียิ่งกว่าทาสอีกคือเป็นพี่น้องที่รัก เขาเป็นที่รักยิ่งของข้าพเจ้าและเขาจะเป็นที่รักของท่านมากยิ่งกว่า ทั้งในฐานะเพื่อนมนุษย์และในฐานะพี่น้องในองค์พระผู้เป็นเจ้า

17 ฉะนั้นหากท่านถือว่าข้าพเจ้าเป็นหุ้นส่วน ก็ขอให้ต้อนรับเขาเหมือนที่ท่านจะต้อนรับข้าพเจ้า

18 หากเขาทำผิดหรือติดค้างเป็นหนี้อะไรท่านก็จงมาเรียกคืนเอาจากข้าพเจ้า

19 ข้าพเจ้าเปาโลเขียนข้อความนี้ด้วยมือของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าจะชดใช้ให้โดยไม่เอ่ยถึงที่ตัวท่านเองเป็นหนี้ชีวิตข้าพเจ้า

20 น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่งว่าข้าพเจ้าจะได้ประโยชน์จากท่านบ้างในองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้ชื่นใจในพระคริสต์

21 ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านด้วยความมั่นใจว่าท่านจะเชื่อฟังเพราะรู้ว่าท่านจะทำมากยิ่งกว่าที่ข้าพเจ้าขอ

22 อีกอย่างหนึ่งก็คือขอให้ท่านจัดเตรียมห้องพักไว้สำหรับข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้าหวังว่าจะได้กลับมาหาท่านอีกตามคำอธิษฐานของท่าน

23 เอปาฟรัสเพื่อนนักโทษของข้าพเจ้าในพระเยซูคริสต์ฝากความคิดถึงมายังท่าน

24 บรรดาเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้าคือ มาระโก อาริสทารคัส เดมาส และลูกาฝากความคิดถึงมายังท่านเช่นกัน

25 ขอพระคุณขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าดำรงอยู่กับวิญญาณจิตของท่าน

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/PHM/1-ca06f4c257cae23e18f9f50454b146a0.mp3?version_id=179—

ทิตัส 1

1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าและอัครทูตของพระเยซูคริสต์ เพื่อความเชื่อของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและเพื่อความรู้ถึงความจริงอันนำไปสู่ทางพระเจ้า

2 คือความเชื่อและความรู้ที่ตั้งอยู่บนความหวังในชีวิตนิรันดร์ ซึ่งพระเจ้าผู้ไม่ทรงมุสาได้ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา

3 และเมื่อถึงวาระที่ทรงกำหนดพระองค์ได้ทรงให้พระวจนะของพระองค์เป็นที่ทราบทั่วกันผ่านทางการประกาศที่ได้ทรงมอบหมายไว้แก่ข้าพเจ้าตามพระบัญชาของพระเจ้าองค์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา

4 ถึงทิตัสลูกแท้ของข้าพเจ้าในความเชื่อเดียวกัน

ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาและพระเยซูคริสต์องค์พระผู้ช่วยให้รอดของเรามีแก่ท่าน

ภารกิจของทิตัสที่เกาะครีต

5 เหตุที่ข้าพเจ้าละท่านไว้ที่เกาะครีตก็เพื่อให้ท่านสะสางงานที่ยังคั่งค้างและแต่งตั้งคณะผู้ปกครองของคริสตจักรในทุกเมืองตามที่ข้าพเจ้าได้สั่งท่านไว้

6 ผู้ปกครองนั้นต้องปราศจากที่ติ เป็นสามีของภรรยาคนเดียว บุตรของเขาต้องเป็นผู้เชื่อและไม่มีพฤติกรรมที่ใครจะกล่าวหาได้ว่าเป็นคนพาลเกเรและไม่เชื่อฟัง

7 เนื่องจากผู้ปกครองดูแลคริสตจักรได้รับมอบหมายงานของพระเจ้า เขาจึงต้องไม่มีที่ติ ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่เลือดร้อนเจ้าโทสะ ไม่ดื่มสุราเมามาย ไม่ก้าวร้าวใช้กำลัง ไม่หาประโยชน์ในทางทุจริต

8 แต่เขาต้องเป็นผู้มีน้ำใจรับรองแขก รักสิ่งที่ดี ควบคุมตัวเองได้ ยุติธรรม บริสุทธิ์ และมีวินัย

9 เขาต้องยึดมั่นในหลักคำสอนอันเชื่อถือได้ตามที่เรียนรู้มา เพื่อเขาจะสามารถให้กำลังผู้อื่นด้วยคำสอนอันมีหลักและโต้แย้งผู้ที่ต่อต้านคำสอนนั้น

10 เพราะมีหลายคนที่มักขัดขืนไม่เชื่อฟังพวกเขา เป็นคนดีแต่พูดและหลอกลวงโดยเฉพาะคนเหล่านั้นจากกลุ่มเข้าสุหนัต

11 ต้องทำให้พวกนี้สงบปากสงบคำ เพราะหลายครัวเรือนกำลังถูกเขาทำลายทั้งครอบครัวโดยการสอนสิ่งที่เขาไม่ควรสอนและการสอนนั้นก็เพื่อหาประโยชน์ในทางทุจริต

12 แม้แต่ผู้พยากรณ์คนหนึ่งของพวกเขาเองยังกล่าวว่า “ชาวครีตเป็นคนโกหกเสมอ เป็นสัตว์ป่าชั่วร้าย เป็นคนตะกละตะกลามที่เกียจคร้าน”

13 และคำพูดนี้ก็เป็นความจริง ฉะนั้นจงว่ากล่าวเขาอย่างเข้มงวดเพื่อเขาจะไม่มีข้อบกพร่องในความเชื่อนั้น

14 และจะไม่ใส่ใจกับนิยายปรัมปราของยิวหรือกฎเกณฑ์ของพวกที่ปฏิเสธความจริง

15 สำหรับผู้บริสุทธิ์นั้นทุกสิ่งก็บริสุทธิ์ แต่สำหรับผู้เสื่อมทรามและไม่เชื่อแล้ว ไม่มีสิ่งใดบริสุทธิ์เลย อันที่จริงความคิดและจิตสำนึกของเขาก็เสื่อมทราม

16 เขาอ้างว่ารู้จักพระเจ้า แต่ปฏิเสธพระองค์ด้วยการกระทำของเขา เขาเป็นคนน่ารังเกียจ ไม่เชื่อฟัง ไม่เหมาะสำหรับการทำดีใดๆ

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/TIT/1-38528382041bca745400284e3e486a90.mp3?version_id=179—

ทิตัส 2

สิ่งที่ต้องสอนกลุ่มต่างๆ

1 ท่านต้องสอนสิ่งที่สอดคล้องกับคำสอนอันมีหลัก

2 พึงสอนชายผู้สูงอายุให้เป็นผู้รู้จักประมาณตน น่านับถือ ควบคุมตนเองได้ เข้มแข็งในความเชื่อ ในความรัก และในความอดทน

3 เช่นเดียวกันพึงสอนหญิงสูงอายุให้ดำเนินชีวิตด้วยความยำเกรง ไม่ใส่ร้ายป้ายสี หรือติดเหล้า แต่ให้สอนสิ่งที่ดีงาม

4 แล้วนางจะสามารถฝึกฝนบรรดาหญิงสาวให้รักสามีและลูกๆ ของตน

5 ให้เป็นผู้ควบคุมตนเองได้และเป็นผู้บริสุทธิ์ ให้เอาใจใส่ดูแลบ้านเรือน ให้มีเมตตาและให้ยอมเชื่อฟังสามีของตน เพื่อจะไม่มีใครว่าร้ายพระวจนะของพระเจ้าได้

6 ในทำนองเดียวกันพึงให้กำลังใจบรรดาชายหนุ่มให้รู้จักควบคุมตนเอง

7 ท่านจงประพฤติตนเป็นแบบอย่างในทุกด้านโดยการทำสิ่งที่ดี ในการสอนของท่านจงสำแดงความซื่อตรง ความเอาจริงเอาจัง

8 และถ้อยคำอันมีหลักซึ่งไม่มีใครตำหนิได้ เพื่อผู้ที่ต่อต้านท่านจะได้ละอายใจเพราะไม่มีข้อไหนจะติว่าเราได้

9 จงสอนพวกทาสให้เชื่อฟังนายของตนทุกสิ่ง พยายามทำให้นายพอใจ ไม่โต้เถียง

10 และไม่ยักยอก แต่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่ไว้ใจได้เต็มที่ เพื่อว่าเขาจะทำให้คำสอนเรื่องพระเจ้าองค์พระผู้ช่วยให้รอดของเรานั้นน่าเลื่อมใสในทุกๆ ทาง

11 เพราะพระคุณของพระเจ้าซึ่งนำความรอดมานั้นได้ปรากฏแก่คนทั้งปวง

12 สิ่งนี้สอนให้เราปฏิเสธความอธรรมและโลกียตัณหา และสอนเราให้ดำเนินชีวิตในยุคนี้อย่างคนที่รู้จักควบคุมตนเอง เป็นคนยุติธรรมและอยู่ในทางพระเจ้า

13 ขณะที่เรารอคอยความหวังอันเปี่ยมด้วยพระพร คือการปรากฏพระองค์อย่างทรงพระเกียรติสิริของพระเจ้าองค์พระผู้ช่วยให้รอดผู้ยิ่งใหญ่ของเราคือพระเยซูคริสต์

14 ผู้ประทานพระองค์เองแก่เราเพื่อไถ่เราให้พ้นจากความชั่วทั้งปวง และเพื่อชำระเราให้บริสุทธิ์ไว้สำหรับพระองค์ เป็นประชากรของพระองค์เพียงผู้เดียว เป็นผู้กระตือรือร้นที่จะทำสิ่งดี

15 ฉะนั้นท่านควรสอนเรื่องเหล่านี้ จงให้กำลังใจและตักเตือนด้วยสิทธิอำนาจทั้งปวง อย่าให้ใครดูแคลนท่านได้

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/TIT/2-73e0cead9ac63d8c726b85e5f8753207.mp3?version_id=179—

ทิตัส 3

กระทำสิ่งที่ดี

1 จงเตือนประชากรเหล่านั้นให้อยู่ในบังคับของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและผู้มีอำนาจ ให้เชื่อฟังและพร้อมจะทำสิ่งที่ดี

2 ไม่ใส่ร้ายป้ายสีใคร รักสงบ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และถ่อมสุภาพต่อคนทั้งปวง

3 ครั้งหนึ่งเราเองก็โง่เขลา ไม่เชื่อฟัง หลงผิด ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาและความสนุกบันเทิงทุกชนิด เราใช้ชีวิตแบบเลวร้าย อิจฉา เป็นที่ชิงชังและเกลียดชังกันและกัน

4 แต่เมื่อพระกรุณาและความรักของพระเจ้าองค์พระผู้ช่วยให้รอดของเราปรากฏ

5 พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราได้ทำ แต่เพราะพระเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดผ่านทางการชำระแห่งการบังเกิดใหม่ และการทรงสร้างขึ้นใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

6 พระเจ้าทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ลงมาบนเราอย่างล้นเหลือผ่านทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา

7 เพื่อว่าเมื่อเราถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยพระคุณของพระองค์แล้ว เราก็จะกลายเป็นทายาท มีความหวังในชีวิตนิรันดร์

8 ที่กล่าวมานี้ควรแก่การเชื่อถือ และข้าพเจ้าขอให้ท่านเน้นในเรื่องเหล่านี้เพื่อผู้ที่วางใจในพระเจ้าจะได้ใส่ใจในการอุทิศตนทำสิ่งที่ดี สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งดีเลิศและเป็นประโยชน์แก่ทุกคน

9 แต่จงหลีกห่างจากความขัดแย้งอันโง่เขลาเรื่องลำดับวงศ์ตระกูล การถกเถียงและการทะเลาะวิวาทเกี่ยวกับบทบัญญัติ เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ไม่มีประโยชน์และไร้ค่า

10 จงตักเตือนคนที่ก่อให้เกิดความแตกแยกครั้งหนึ่งก่อน แล้วจึงตักเตือนซ้ำเป็นครั้งที่สอง หลังจากนั้นก็ให้เลิกเกี่ยวข้องกับเขา

11 ท่านแน่ใจได้ว่าคนแบบนี้เป็นคนนอกลู่นอกทางและบาปหนา การกระทำของเขาพิพากษาตัวเขาเอง

คำลงท้าย

12 เมื่อข้าพเจ้าส่งอารเทมัสหรือทีคิกัสมาถึงท่านแล้ว ขอให้ท่านพยายามรีบไปพบข้าพเจ้าที่เมืองนิโคโปลิสให้ได้ เพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะอยู่ที่นั่นจนสิ้นฤดูหนาว

13 ขอให้ท่านทำทุกสิ่งเท่าที่ทำได้เพื่อช่วยเหลือการเดินทางของเศนาสนักกฎหมายกับอปอลโล และดูแลพวกเขาให้มีทุกสิ่งที่จำเป็น

14 คนของเราต้องเรียนรู้ที่จะอุทิศตนทำสิ่งที่ดี เพื่อเขาจะได้จัดหาสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันให้ผู้อื่นและเพื่อจะไม่ดำเนินชีวิตอย่างไร้ผล

15 ทุกคนที่อยู่กับข้าพเจ้าฝากความคิดถึงมายังท่าน ข้าพเจ้าขอฝากความคิดถึงมายังบรรดาคนที่รักเราในความเชื่อนั้น

ขอพระคุณดำรงอยู่กับท่านทั้งปวง

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/TIT/3-9da67580f62fb1b18223a5ed617ea4d2.mp3?version_id=179—

2ทิโมธี 1

1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์โดยพระประสงค์ของพระเจ้าตามพระสัญญาแห่งชีวิตซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์

2 ถึงทิโมธีลูกที่รักของข้าพเจ้า

ขอพระคุณ พระเมตตา และสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาและพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรามีแก่ท่าน

ให้กำลังใจให้สัตย์ซื่อ

3 เมื่อข้าพเจ้าระลึกถึงท่านในคำอธิษฐานอยู่เสมอทั้งวันทั้งคืน ข้าพเจ้าก็ขอบพระคุณพระเจ้าผู้ซึ่งข้าพเจ้ารับใช้อยู่ด้วยจิตสำนึกอันใสสะอาดเช่นเดียวกับบรรพบุรุษของข้าพเจ้า

4 เมื่อหวนนึกถึงน้ำตาของท่าน ข้าพเจ้าก็อยากจะมาหาท่านเพื่อข้าพเจ้าจะได้เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี

5 ข้าพเจ้าคิดถึงความเชื่ออันจริงใจของท่าน ซึ่งตั้งแต่แรกนั้นก็มีอยู่ในโลอิสยายของท่านและในยูนีสมารดาของท่าน และข้าพเจ้าเชื่อว่าบัดนี้มีอยู่ในท่านเช่นกัน

6 ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงขอเตือนท่านว่าจงทำให้ของประทานของพระเจ้าซึ่งมีอยู่ในตัวท่านผ่านทางการวางมือของข้าพเจ้านั้นรุ่งเรืองขึ้น

7 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงให้เรามีใจขลาดอาย แต่ประทานใจอันเปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจ ความรัก และการรู้จักบังคับตนเองแก่เรา

8 ดังนั้นอย่าละอายที่จะเป็นพยานเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราหรือละอายในตัวของข้าพเจ้าผู้ถูกจองจำเพื่อพระองค์ แต่จงร่วมทนทุกข์กับข้าพเจ้าเพื่อข่าวประเสริฐโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

9 ผู้ทรงช่วยเราให้รอดและทรงเรียกเรามาสู่ชีวิตอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพราะการกระทำใดๆ ของเราแต่เพราะพระประสงค์และพระคุณของพระองค์เอง พระคุณนี้ได้ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา

10 แต่บัดนี้ทรงให้ประจักษ์แจ้งโดยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ได้ทรงทำลายความตายและทรงนำชีวิตกับความเป็นอมตะมาสู่ความสว่างโดยทางข่าวประเสริฐ

11 และทรงแต่งตั้งข้าพเจ้าให้เป็นผู้ป่าวประกาศ เป็นอัครทูต และเป็นผู้สอนข่าวประเสริฐนี้

12 นั่นเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าทนทุกข์อย่างที่เป็นอยู่ กระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ละอายเพราะข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าเชื่อ และมั่นใจว่าพระองค์ทรงสามารถรักษาสิ่งที่ข้าพเจ้ามอบไว้กับพระองค์จนถึงวันนั้นได้

13 จงยึดถือแบบอย่างของคำสอนอันมีหลักที่ท่านได้ยินจากข้าพเจ้าด้วยความเชื่อและความรักในพระเยซูคริสต์

14 สำหรับความจริงแห่งข่าวประเสริฐที่ท่านได้รับมอบหมายไว้นั้น จงพิทักษ์รักษาไว้โดยการช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในเราทั้งหลาย

15 ท่านก็ทราบว่าทุกคนในแคว้นเอเชียทิ้งข้าพเจ้าไปหมด รวมทั้งฟีเจลัสกับเฮอร์โมเกเนส

16 ขอพระเจ้าทรงสำแดงพระเมตตาแก่ครอบครัวของโอเนสิโฟรัสเพราะเขาทำให้ข้าพเจ้าชื่นใจบ่อยครั้งและไม่ละอายเลยที่ข้าพเจ้าถูกจองจำอยู่

17 ตรงกันข้ามเมื่อเขาอยู่ในกรุงโรม เขาพยายามเที่ยวสืบหาข้าพเจ้าจนพบ

18 ขอพระเจ้าทรงให้เขาได้รับพระเมตตาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าในวันนั้นด้วยเถิด! ท่านก็ทราบดีว่าเมื่ออยู่ที่เมืองเอเฟซัสเขาได้ช่วยเหลือข้าพเจ้าในหลายๆ ด้าน

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/2TI/1-766d68ebbf1f688dca653e08d800abe3.mp3?version_id=179—