1พงศาวดาร 26

ยามเฝ้าประตูพระวิหาร

1 การแบ่งหมู่เหล่าของยามเฝ้าประตูพระวิหารเป็นดังนี้

จากตระกูลโคราห์ได้แก่ เมเชเลมิยาห์บุตรของโคเรซึ่งเป็นบุตรคนหนึ่งของอาสาฟ

2 บุตรของเมเชเลมิยาห์ ได้แก่

เศคาริยาห์บุตรหัวปี

คนที่สองคือเยดียาเอล

คนที่สามคือเศบาดิยาห์

คนที่สี่คือยาทนีเอล

3 คนที่ห้าคือเอลาม

คนที่หกคือเยโฮฮานัน

และคนที่เจ็ดคือเอลีโฮนัย

4 โอเบดเอโดมก็มีบุตรด้วยเช่นกัน ได้แก่

เชไมอาห์บุตรหัวปี

คนที่สองคือเยโฮซาบาด

คนที่สามคือโยอาห์

คนที่สี่คือสาคาร์

คนที่ห้าคือเนธันเอล

5 คนที่หกคืออัมมีเอล

คนที่เจ็ดคืออิสสาคาร์

และคนที่แปดคือเปอุลเลธัย

(เพราะพระเจ้าทรงอวยพรโอเบดเอโดม)

6 เชไมอาห์บุตรของเขาก็มีบุตรหลายคน ซึ่งเป็นผู้นำในเครือญาติเพราะมีความสามารถ

7 บุตรของเชไมอาห์ได้แก่ โอทนี เรฟาเอล โอเบด และเอลซาบาด ญาติของเขาคือเอลีฮูกับเสมาคิยาห์ก็เป็นผู้มีความสามารถเช่นกัน

8 บุตรหลานและญาติของโอเบดเอโดมรวมทั้งสิ้น 62 คน ล้วนมีความสามารถและมีกำลังในการปฏิบัติงาน

9 เมเชเลมิยาห์มีบุตรและญาติพี่น้องรวม 18 คน ก็เป็นผู้มีความสามารถเช่นกัน

10 สำหรับโฮสาห์ตระกูลเมรารีได้แต่งตั้งชิมรีให้เป็นผู้นำของบุตรทั้งหลายของตน (แม้ว่าชิมรีจะไม่ใช่บุตรหัวปี แต่บิดาตั้งเขาเป็นคนแรก)

11 คนที่สองคือฮิลคียาห์ คนที่สามคือเทบาลิยาห์ คนที่สี่คือเศคาริยาห์ บุตรและญาติพี่น้องของโฮสาห์รวม 13 คน

12 หมู่เหล่าของยามเฝ้าประตูพระวิหารซึ่งแบ่งตามหัวหน้าของเขา มีหน้าที่รับผิดชอบงานในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับคนเลวีอื่นๆ

13 เขาได้รับมอบหมายให้รักษาการณ์ที่ประตูต่างๆ โดยการจับสลากตามครอบครัวของพวกเขา โดยไม่คำนึงถึงอายุ

14 สลากสำหรับหน้าที่รับผิดชอบประตูตะวันออก ได้แก่ เชเลมิยาห์สลากต่อมาด้านทิศเหนือ ได้แก่ เศคาริยาห์ บุตรของเขาเป็นที่ปรึกษาที่ชาญฉลาด

15 สลากสำหรับประตูด้านใต้ ได้แก่ โอเบดเอโดม สลากสำหรับดูแลคลังได้แก่บุตรทั้งหลายของเขา

16 สลากสำหรับประตูด้านตะวันตกและประตูชัลเลเคทที่ถนนสายบน ได้แก่ ชุปปิมและโฮสาห์

ยามจะอยู่ถัดกันไปดังนี้คือ

17 ประตูด้านตะวันออก มียามคนเลวีวันละหกคน ด้านเหนือวันละสี่คน ด้านใต้วันละสี่คน คลังเก็บของเวรยามละสองคน

18 สำหรับลานไปทางตะวันตกมีสองคน และตามทางเดินมีอีกสี่คน

19 นี่คือหมู่เหล่าของยามเฝ้าประตูพระวิหารผู้เป็นวงศ์วานของโคราห์และเมรารี

คลังพระวิหารและเจ้าหน้าที่อื่นๆ

20 ชนเลวีคนอื่นๆดูแลคลังพระนิเวศของพระเจ้าและคลังของถวายต่างๆ

21 วงศ์วานของลาดานตระกูลเกอร์โชนซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวตามเชื้อสายลาดานได้แก่ เยฮีเอลี

22 บรรดาบุตรของเยฮีเอลี เศธามกับโยเอลน้องชายของเขาดูแลคลังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า

23 จากสายอัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล ได้แก่

24 ชูบาเอล วงศ์วานของเกอร์โชมบุตรโมเสส เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลคลังต่างๆ

25 ญาติพี่น้องของเขาที่สืบมาทางสายเอลีเอเซอร์คือเรหับยาห์ ซึ่งมีบุตรคือเยชายาห์ ซึ่งมีบุตรคือโยรัม ซึ่งมีบุตรคือศิครี ซึ่งมีบุตรคือเชโลมิท

26 เชโลมิทกับญาติพี่น้องของเขาดูแลเครื่องถวายที่กษัตริย์ดาวิดและบรรดาผู้นำครอบครัวต่างๆ ซึ่งเป็นแม่ทัพนายกองหรือขุนพลถวายแด่พระเจ้า

27 บุคคลดังกล่าวถวายของเชลยบางส่วนที่ได้จากการรบ เพื่อใช้ในการซ่อมบำรุงพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า

28 เชโลมิทกับญาติพี่น้องของเขายังดูแลข้าวของต่างๆ ที่ผู้ทำนายซามูเอล ซาอูลบุตรของคีช อับเนอร์บุตรเนอร์ โยอาบบุตรนางเศรุยาห์ และคนอื่นๆ ถวายแด่พระเจ้า

29 จากสายอิสฮาร์ได้แก่ เคนานิยาห์และบรรดาบุตรของเขา ซึ่งรับหน้าที่ภายนอกพระวิหาร คือเป็นเจ้าหน้าที่และตุลาการปกครองอิสราเอล

30 จากสายเฮโบรนได้แก่ ฮาชาบิยาห์และเครือญาติ 1,700 คนซึ่งล้วนมีความสามารถ พวกเขาดูแลอิสราเอลทางตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนให้ทำงานทั้งสิ้นขององค์พระผู้เป็นเจ้าและงานราชการของกษัตริย์

31 เยรียาห์เป็นหัวหน้าของสายเฮโบรนตามบันทึกลำดับวงศ์ตระกูลในปีที่สี่สิบแห่งรัชกาลกษัตริย์ดาวิด มีการสำรวจบันทึกต่างๆ และพบคนที่มีความสามารถในหมู่เชื้อสายเฮโบรนที่ยาเซอร์ในแดนกิเลอาด

32 เยรียาห์มีญาติ 2,700 คน ซึ่งเป็นผู้มีความสามารถและเป็นหัวหน้าครอบครัวต่างๆ กษัตริย์ดาวิดจึงตั้งพวกเขาให้ดูแลชนเผ่ารูเบน กาด และมนัสเสห์ครึ่งเผ่าให้ทำงานทั้งสิ้นของพระเจ้า และงานราชการของกษัตริย์

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/1CH/26-92c6986cee5e1a62658c9274efcb8da8.mp3?version_id=179—

1พงศาวดาร 27

กองทัพอิสราเอล

1 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อหัวหน้าครอบครัว แม่ทัพนายกอง และเจ้าหน้าที่ต่างๆ ของอิสราเอล ซึ่งรับใช้กษัตริย์ในงานที่เกี่ยวกับการแบ่งกำลังพลประจำหน้าที่แต่ละเดือนตลอดปี แต่ละกองมีกำลังพล 24,000 คน

2 ผู้บัญชาการกองพลที่หนึ่งซึ่งรับผิดชอบเดือนที่หนึ่งคือ ยาโชเบอัมบุตรศับดีเอล รับผิดชอบเดือนที่หนึ่ง มีกำลังพล 24,000 คน

3 เขาเป็นวงศ์วานของเปเรศ และเป็นผู้บัญชาการกองทัพทั้งหมดในเดือนที่หนึ่ง

4 ผู้บัญชาการกองพลที่สองซึ่งรับผิดชอบเดือนที่สองคือ โดดัยชาวอาโหอาห์ มีกำลังพล 24,000 คน มิคโลธเป็นผู้บังคับกอง

5 ผู้บัญชาการกองพลที่สามซึ่งรับผิดชอบเดือนที่สามคือ เบไนยาห์บุตรปุโรหิตเยโฮยาดา เขาเป็นหัวหน้าและมีกำลังพล 24,000 คน

6 เขาคือเบไนยาห์ผู้เป็นหัวหน้าของกลุ่มสามสิบยอดนักรบของดาวิด บุตรของเขาคืออัมมีซาบาดเป็นผู้บังคับกอง

7 ผู้บัญชาการกองพลที่สี่ซึ่งรับผิดชอบเดือนที่สี่คือ อาสาเฮลน้องชายของโยอาบ เศบาดิยาห์บุตรของเขารับตำแหน่งต่อ มีกำลังพล 24,000 คน

8 ผู้บัญชาการกองพลที่ห้าซึ่งรับผิดชอบเดือนที่ห้าคือ แม่ทัพชัมหุทแห่งอิสราห์ มีกำลังพล 24,000 คน

9 ผู้บัญชาการกองพลที่หกซึ่งรับผิดชอบเดือนที่หกคือ อิราบุตรอิกเขชจากเทโคอา มีกำลังพล 24,000 คน

10 ผู้บัญชาการกองพลที่เจ็ดซึ่งรับผิดชอบเดือนที่เจ็ดคือ เฮเลสจากเปโลนคนเอฟราอิม มีกำลังพล 24,000 คน

11 ผู้บัญชาการกองพลที่แปดซึ่งรับผิดชอบเดือนที่แปดคือ สิบเบคัยเชื้อสายหุชาแห่งตระกูลเศราห์ มีกำลังพล 24,000 คน

12 ผู้บัญชาการกองพลที่เก้าซึ่งรับผิดชอบเดือนที่เก้าคือ อาบีเอเซอร์จากอานาโธทเผ่าเบนยามิน มีกำลังพล 24,000 คน

13 ผู้บัญชาการกองพลที่สิบซึ่งรับผิดชอบเดือนที่สิบคือ มาหะรัยจากเนโทฟาห์ตระกูลเศราห์ มีกำลังพล 24,000 คน

14 ผู้บัญชาการกองพลที่สิบเอ็ดซึ่งรับผิดชอบเดือนที่สิบเอ็ดคือเบไนยาห์จากปิราโธน ชาวเอฟราอิม มีกำลังพล 24,000 คน

15 ผู้บัญชาการกองพลที่สิบสองซึ่งรับผิดชอบเดือนที่สิบสองคือ เฮลดัยแห่งเนโทฟาห์ จากครอบครัวของโอทนีเอล มีกำลังพล 24,000 คน

เจ้าหน้าที่ปกครองเผ่าต่างๆ

16 เจ้าหน้าที่ปกครองเผ่าต่างๆ ของอิสราเอลมีดังต่อไปนี้

เผ่ารูเบนมีเอลีเอเซอร์บุตรศิครีปกครอง

เผ่าสิเมโอนมีเชฟาทิยาห์บุตรมาอาคาห์ปกครอง

17 เผ่าเลวีมีฮาชาบิยาห์บุตรเคมูเอลปกครอง

วงศ์วานของอาโรนมีศาโดกปกครอง

18 เผ่ายูดาห์มีเอลีฮูพี่ชายของดาวิดปกครอง

เผ่าอิสสาคาร์มีอมรีบุตรมีคาเอลปกครอง

19 เผ่าเศบูลุนมีอิชมัยอาห์บุตรโอบาดีห์ปกครอง

เผ่านัฟทาลีมีเยรีโมทบุตรอัสรีเอลปกครอง

20 เผ่าเอฟราอิมมีโฮเชยาบุตรอาซาซิยาห์ปกครอง

เผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่ามีโยเอลบุตรเปดายาห์ปกครอง

21 เผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่าในกิเลอาดมีอิดโดบุตรเศคาริยาห์ปกครอง

เผ่าเบนยามินมียาอาซีเอลบุตรอับเนอร์ปกครอง

22 เผ่าดานมีอาซาเรลบุตรเยโรฮัมปกครอง

คนเหล่านี้เป็นเจ้าหน้าที่ปกครองเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล

23 ดาวิดไม่ได้นับจำนวนคนที่มีอายุยี่สิบปีลงมา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาว่าจะเพิ่มพูนอิสราเอลให้มากมายเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า

24 โยอาบบุตรนางเศรุยาห์เริ่มนับจำนวนคน แต่ไม่ได้ทำจนครบ พระพิโรธตกแก่อิสราเอลเนื่องจากการนับจำนวนนี้ ยอดรวมไม่เคยบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์ดาวิด

ผู้รับผิดชอบงานของกษัตริย์

25 อัสมาเวทบุตรอาดีเอลรับผิดชอบคลังหลวง โยนาธานบุตรอุสซียาห์รับผิดชอบคลังต่างๆ ตามหัวเมือง หมู่บ้าน และหอสังเกตการณ์ทั้งหลาย

26 เอสรีบุตรเคลูบรับผิดชอบคนทำงานในเรือกสวนไร่นาของหลวง

27 ชิเมอีจากรามาห์รับผิดชอบสวนองุ่นหลวง

ศับดีแห่งชิฟไมต์รับผิดชอบผลผลิตจากสวนองุ่นสำหรับห้องเก็บเหล้าองุ่น

28 บาอัลฮานันจากเกเดอร์รับผิดชอบสวนมะกอกและมะเดื่อของหลวงในเชิงเขาทางตะวันตก

โยอาชรับผิดชอบการจัดหาน้ำมันมะกอก

29 ชิตรัยจากชาโรนรับผิดชอบปศุสัตว์ในชาโรน

ชาฟัทบุตรอัดลัยรับผิดชอบปศุสัตว์ในหุบเขาต่างๆ

30 โอบิลจากอิชมาเอลรับผิดชอบฝูงอูฐ

เยเดยาห์จากเมโรโนทรับผิดชอบฝูงลา

31 ยาซีสแห่งฮาการ์รับผิดชอบฝูงแพะแกะ

คนเหล่านี้เป็นผู้รับผิดชอบทรัพย์สินส่วนพระองค์ของกษัตริย์ดาวิด

32 โยนาธานลุงของดาวิดเป็นที่ปรึกษา เป็นผู้มีความเข้าใจลึกซึ้ง และเป็นอาลักษณ์ เยฮีเอลบุตร

ฮัคโมนีดูแลบรรดาโอรสของกษัตริย์

33 อาหิโธเฟลเป็นที่ปรึกษาประจำพระองค์ และหุชัยแห่งอารคีเป็นพระสหาย

34 ผู้สืบทอดตำแหน่งของอาหิโธเฟลคือ เยโฮยาดาบุตรเบไนยาห์และอาบียาธาร์ ส่วนโยอาบเป็นแม่ทัพหลวง

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/1CH/27-054374c0f800c1af341ca72ab5c7a4c1.mp3?version_id=179—

1พงศาวดาร 28

แผนงานของดาวิดในการสร้างพระวิหาร

1 ดาวิดทรงเรียกชุมนุมข้าราชการทั้งปวงในกรุงเยรูซาเล็ม คือเจ้าหน้าที่เผ่าต่างๆ บรรดาผู้บัญชาการกองพลของกษัตริย์ เหล่าแม่ทัพนายกอง ผู้ดูแลรับผิดชอบทรัพย์สินและปศุสัตว์ส่วนพระองค์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ราชวัง เหล่ายอดนักรบ และบรรดาทหารกล้า

2 ดาวิดทรงยืนขึ้นและตรัสว่า “พี่น้องประชาชนทั้งหลาย ข้าพเจ้าตั้งใจจะสร้างพระนิเวศเพื่อเป็นที่วางหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและเพื่อเป็นแท่นรองพระบาทสำหรับพระเจ้าของเรา และข้าพเจ้าได้จัดเตรียมการก่อสร้างไว้แล้ว

3 แต่พระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าจะสร้างนิเวศสำหรับนามของเราไม่ได้ เพราะเจ้าเป็นนักรบและได้ทำให้เลือดนองแผ่นดินมามาก’

4 “แต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้ทรงเลือกข้าพเจ้าขึ้นมาจากวงศ์ตระกูล ให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลตลอดกาล ทรงเลือกตระกูลยูดาห์เป็นผู้นำ และจากยูดาห์ทรงเลือกครอบครัวของบิดาของข้าพเจ้า และจากบุตรทั้งหลายของบิดา พระองค์ทรงพอพระทัยตั้งข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ปกครองเหนืออิสราเอล

5 จากบรรดาบุตรของข้าพเจ้าซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานให้มากมาย พระองค์ทรงเลือกโซโลมอนให้ครองบัลลังก์แห่งอาณาจักรอิสราเอลขององค์พระผู้เป็นเจ้า

6 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘โซโลมอนบุตรชายของเจ้า คือผู้ที่จะสร้างพระนิเวศและลานพระนิเวศสำหรับเรา เพราะเราเลือกเขาเป็นบุตรของเราและเราจะเป็นบิดาของเขา

7 หากเขาตั้งใจแน่วแน่ ปฏิบัติตามบทบัญญัติและคำบัญชาของเราเหมือนที่เขาทำอยู่นี้เราก็จะสถาปนาอาณาจักรของเขาไว้ตลอดกาล’

8 “บัดนี้เราขอกำชับเจ้าต่อหน้าอิสราเอลทั้งปวง ต่อหน้าที่ประชุมประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้าและต่อพระกรรณของพระเจ้าของเราว่า จงใส่ใจปฏิบัติตามพระบัญชาทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า เพื่อจะได้ครองดินแดนอันอุดมแห่งนี้ และสืบทอดเป็นมรดกถึงลูกหลานของเจ้าตลอดไป

9 “ลูกโซโลมอนเอ๋ย จงรู้จักพระเจ้าของบรรพบุรุษของเจ้า จงปรนนิบัติพระองค์ด้วยสุดหัวใจและด้วยความเต็มใจ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิเคราะห์จิตใจทุกดวง ทรงเข้าใจเจตนาและแรงจูงใจทุกอย่าง หากเจ้าแสวงหาพระองค์ก็จะพบพระองค์ แต่หากเจ้าละทิ้งพระองค์ พระองค์ก็จะทรงปฏิเสธเจ้าตลอดไป

10 บัดนี้จงไตร่ตรองดู เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกเจ้าให้สร้างพระวิหารเพื่อเป็นสถานนมัสการ จงเข้มแข็งและทำงานนี้เถิด”

11 แล้วดาวิดประทานแบบมุขหน้าพระวิหารและอาคารส่วนต่างๆ ของพระวิหาร คลัง ห้องชั้นบน ห้องชั้นใน และห้องสำหรับพระที่นั่งกรุณาแก่โซโลมอน

12 ทั้งแบบสำหรับลานด้านนอก ห้องข้างนอก คลังต่างๆ ของพระวิหาร และคลังสำหรับทรัพย์สิ่งของซึ่งนำมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าดาวิดประทานแบบทั้งหมดนี้ที่พระวิญญาณประทานในความคิดแก่โซโลมอน

13 พระองค์ทรงกำชับโซโลมอนเกี่ยวกับการแบ่งหน้าที่ของปุโรหิตและชนเลวี และหน้าที่การปรนนิบัติทั้งปวงในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดจนเกี่ยวกับภาชนะใช้สอยทุกอย่างซึ่งใช้ในงานต่างๆ

14 ทรงกำหนดน้ำหนักทองและเงินสำหรับภาชนะเครื่องใช้เหล่านี้คือ

15 น้ำหนักทองคำสำหรับคันประทีปทองคำทั้งหมดกับตะเกียง และน้ำหนักของคันประทีปแต่ละคัน ตะเกียงแต่ละดวง น้ำหนักเงินสำหรับคันประทีปเงินแต่ละคันและตะเกียงตามปริมาณที่จะใช้

16 ทรงกำหนดน้ำหนักทองคำสำหรับโต๊ะวางขนมปังศักดิ์สิทธิ์แต่ละโต๊ะกับน้ำหนักเงินสำหรับโต๊ะเงิน

17 น้ำหนักทองคำบริสุทธิ์สำหรับขอเกี่ยวเนื้อ อ่างประพรม ถ้วยชาม และคนโททองคำ และน้ำหนักเงินสำหรับชามเงิน

18 ตลอดจนน้ำหนักทองหลอมบริสุทธิ์สำหรับแท่นเผาเครื่องหอม และทรงมอบแบบของรถม้าศึกซึ่งเป็นเครูบทองคำที่คลี่ปีกออกปกหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

19 ดาวิดตรัสว่า “เราเขียนทั้งหมดนี้โดยที่พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือเรา และทรงให้เรามีความเข้าใจในรายละเอียดทั้งปวงของแผนงาน”

20 ดาวิดตรัสกับโซโลมอนราชโอรสอีกว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญ และลงมือทำงาน อย่ากลัวหรือท้อแท้ เพราะพระเจ้าพระยาห์เวห์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าของเราสถิตกับเจ้า พระองค์จะไม่ทรงละทิ้งเจ้า พระองค์จะทรงดูแลให้งานทุกอย่างของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าสำเร็จเรียบร้อย

21 การแบ่งหน้าที่ของปุโรหิตและคนเลวีพร้อมแล้วสำหรับงานทั้งหมดเกี่ยวกับพระวิหารของพระเจ้า ทุกคนที่เต็มใจซึ่งเชี่ยวชาญในงานเชิงช่างฝีมือจะช่วยเจ้าในงานทั้งปวง ข้าราชบริพารและประชาชนทั้งปวงจะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าทุกประการ”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/1CH/28-46bd625977ea18635e9b169974ab160c.mp3?version_id=179—

1พงศาวดาร 29

ของถวายสำหรับสร้างพระวิหาร

1 จากนั้นกษัตริย์ดาวิดตรัสกับชุมนุมประชากรทั้งหมดว่า “โซโลมอนบุตรของข้าพเจ้าซึ่งพระเจ้าทรงเลือกสรรนั้นยังเด็กและอ่อนประสบการณ์นัก งานที่รออยู่ก็ใหญ่หลวง เพราะอาคารมโหฬารนี้ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อมนุษย์ แต่สำหรับพระเจ้าพระยาห์เวห์

2 ข้าพเจ้าได้จัดเตรียมไว้สุดความสามารถสำหรับพระวิหารของพระเจ้า ไม่ว่าทอง เงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ไม้ โกเมน หินจำพวกโมรา พลอยขี้นกการเวกสำหรับฝังประดับเพชรพลอยหลากสี หินลาย และหินอ่อนจำนวนมหาศาล

3 และบัดนี้ ด้วยชีวิตที่ทุ่มเทเพื่อพระวิหารของพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอมอบทองและเงินซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวเพื่อสมทบในการก่อสร้างพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์นี้ นอกเหนือจากวัสดุทั้งปวงที่ข้าพเจ้าได้รวบรวมไว้ให้แล้วนั้น

4 ของถวายส่วนตัวนี้ได้แก่ ทองคำหนักประมาณ 100 ตัน(เป็นทองคำจากโอฟีร์) และเงินบริสุทธิ์หนักประมาณ 240 ตันสำหรับใช้กรุผนังอาคาร

5 สำหรับทำเครื่องเงินเครื่องทองและงานช่างฝีมือ บัดนี้มีใครบ้างที่เต็มใจจะทุ่มเทถวายตัวแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าในวันนี้?”

6 บรรดาผู้นำของวงศ์วานต่างๆ เจ้าหน้าที่ประจำเผ่า แม่ทัพนายกอง และข้าราชบริพารทั้งหลายจึงพากันเต็มใจถวาย

7 เพื่องานสร้างพระวิหารของพระเจ้า พวกเขาได้มอบทองคำหนักประมาณ 170 ตัน กับอีกประมาณ 84 กิโลกรัมเงินหนักประมาณ 345 ตันทองสัมฤทธิ์หนักประมาณ 610 ตัน และเหล็กหนักประมาณ 3,450 ตัน

8 ใครมีเพชรนิลจินดาก็นำมาถวายที่คลังของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าในความดูแลของเยฮีเอลตระกูลเกอร์โชน

9 ประชาชนพากันชื่นชมยินดีที่บรรดาผู้นำของตนเต็มใจมอบถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดหัวใจ กษัตริย์ดาวิดเองก็ทรงปีติยินดีอย่างยิ่ง

คำอธิษฐานของดาวิด

10 ดาวิดสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าชุมนุมประชากรทั้งปวงว่า

“ข้าแต่พระยาห์เวห์

พระเจ้าของอิสราเอลบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย

ขอสรรเสริญพระองค์จากนิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล

11 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าความยิ่งใหญ่ ฤทธานุภาพ

เกียรติสิริ บารมี และเดชานุภาพ เป็นของพระองค์

ทุกสิ่งในฟ้าสวรรค์และพิภพโลกเป็นของพระองค์

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าราชอาณาจักรเป็นของพระองค์

พระองค์ทรงเป็นที่ยกย่องเทิดทูนในฐานะประมุขเหนือสิ่งสารพัด

12 ความมั่งคั่งและเกียรติมาจากพระองค์

พระองค์ทรงครอบครองเหนือสรรพสิ่ง

พลังอำนาจอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ที่จะเชิดชู

และประทานกำลังแก่ทุกคน

13 ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายขอขอบพระคุณพระองค์

และสรรเสริญพระนามอันธำรงเกียรติสิริของพระองค์

14 “แต่ข้าพระองค์เป็นใครหนอ และประชากรของข้าพระองค์เป็นใครกันเล่า ที่จะสามารถถวายแด่พระองค์อย่างเต็มใจเช่นนี้ ทุกสิ่งล้วนมาจากพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเพียงแต่ถวายสิ่งที่มาจากพระหัตถ์ของพระองค์

15 ข้าพระองค์ทั้งหลายก็เหมือนบรรพบุรุษ คือเป็นคนแปลกหน้าและต่างถิ่นในสายพระเนตรของพระองค์ วันเวลาของข้าพระองค์ทั้งหลายในโลกนี้ก็เหมือนเงา ไม่มีความหวังใดๆ

16 ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ทรัพย์สมบัติที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้รวบรวมขึ้นเพื่อสร้างพระวิหารสำหรับพระนามอันบริสุทธิ์ของพระองค์นี้ล้วนมาจากพระหัตถ์ของพระองค์ และทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นของพระองค์

17 ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์ทรงชันสูตรจิตใจและพอพระทัย ในความซื่อสัตย์สุจริต ข้าพระองค์ถวายสิ่งทั้งปวงนี้ด้วยความเต็มใจและจากใจจริง บัดนี้ข้าพระองค์ดีใจที่เห็นประชากรของพระองค์ในที่นี้ถวายสิ่งของด้วยความเต็มใจ

18 ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอล บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงกระทำให้ประชากรของพระองค์มีความปรารถนาเช่นนี้ในจิตใจเสมอ และมีจิตใจจงรักภักดีต่อพระองค์ตลอดไป

19 ขอโปรดให้โซโลมอนบุตรของข้าพระองค์ทุ่มเทหัวใจที่จะปฏิบัติตามพระบัญชา ข้อกำหนด และกฎหมายของพระองค์ และทำทุกสิ่งในการสร้างพระวิหารซึ่งข้าพระองค์เตรียมการไว้นี้”

20 แล้วดาวิดตรัสกับชุมนุมประชากรทั้งปวงว่า “จงสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน” เขาทั้งปวงก็หมอบกราบต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและกษัตริย์ และสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา

โซโลมอนขึ้นเป็นกษัตริย์

21 วันรุ่งขึ้นพวกเขานำวัวหนุ่มหนึ่งพันตัว แกะผู้หนึ่งพันตัว และลูกแกะตัวผู้หนึ่งพันตัวมาเป็นเครื่องเผาบูชา พร้อมทั้งเครื่องดื่มบูชาและเครื่องบูชาอื่นๆ มากมายมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับอิสราเอลทั้งปวง

22 ในวันนั้นมีงานเลี้ยงฉลองด้วยความชื่นชมยินดีต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า

แล้วพวกเขาสถาปนาโซโลมอนราชโอรสของดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์เป็นครั้งที่สอง พวกเขาเจิมตั้งพระองค์ขึ้นเป็นผู้ปกครองต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและเจิมตั้งศาโดกเป็นปุโรหิต

23 โซโลมอนจึงขึ้นเป็นกษัตริย์ครองราชบัลลังก์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าแทนดาวิดราชบิดา ทรงเจริญรุ่งเรือง และอิสราเอลทั้งปวงต่างเชื่อฟังพระองค์

24 บรรดาผู้นำของชาติ แม่ทัพนายกอง ตลอดจนโอรสทั้งปวงของกษัตริย์ดาวิดต่างถวายความจงรักภักดีต่อกษัตริย์โซโลมอน

25 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเชิดชูโซโลมอนอย่างสูงในสายตาปวงชนอิสราเอล และประทานเกียรติบารมีอย่างที่ไม่มีกษัตริย์อิสราเอลองค์ใดเคยได้รับมาก่อน

ดาวิดสิ้นพระชนม์

26 ดาวิดบุตรเจสซีทรงเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งปวง

27 พระองค์ทรงปกครองอิสราเอลอยู่ 40 ปี โดยปกครองในเมืองเฮโบรน 7 ปี และในกรุงเยรูซาเล็ม 33 ปี

28 ดาวิดสิ้นพระชนม์เมื่อทรงชรามาก ได้ชื่นชมกับชีวิตยืนยาว เกียรติ และความมั่งคั่ง โซโลมอนราชโอรสขึ้นครองราชย์แทน

29 เหตุการณ์ต่างๆ ในรัชกาลกษัตริย์ดาวิดตั้งแต่ต้นจนจบบันทึกไว้ในพงศาวดารของผู้ทำนายซามูเอล พงศาวดารของผู้เผยพระวจนะนาธัน และในพงศาวดารของผู้ทำนายกาด

30 พร้อมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับรัชกาลของพระองค์ แสนยานุภาพ และเหตุการณ์ทั้งปวงที่เกิดขึ้นกับพระองค์ และอิสราเอลกับอาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวง

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/1CH/29-a0908cb20d561e3840852ffaa0399aa4.mp3?version_id=179—

2พงศ์กษัตริย์ 1

องค์พระผู้เป็นเจ้า

1 หลังจากที่อาหับสิ้นพระชนม์ ชนชาติโมอับกบฏต่ออิสราเอล

2 ฝ่ายอาหัสยาห์ทรงพลัดตกจากเฉลียงชั้นบนของพระราชวังที่สะมาเรียพระอาการสาหัส พระองค์จึงทรงใช้ผู้สื่อสารไปกล่าวกับพวกเขาว่า “จงไปปรึกษาบาอัลเซบูบเทพเจ้าแห่งเอโครนว่าอาการบาดเจ็บของเราจะหายหรือไม่”

3 แต่ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเอลียาห์ชาวทิชบีว่า “จงไปพบผู้สื่อสารของกษัตริย์สะมาเรียนั้นและถามพวกเขาว่า ‘ในอิสราเอลไม่มีพระเจ้าหรือ ทำไมพวกเจ้าจึงต้องไปปรึกษาบาอัลเซบูบเทพเจ้าแห่งเอโครน?’

4 เพราะเหตุนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า ‘เจ้าจะไม่ได้ลุกจากเตียงที่นอนอยู่ เจ้าจะต้องตายแน่!’ ” แล้วเอลียาห์ก็ไป

5 เมื่อผู้สื่อสารของกษัตริย์กลับไปเข้าเฝ้า กษัตริย์ตรัสถามว่า “พวกเจ้ากลับมาทำไม?”

6 พวกเขาทูลว่า “มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกข้าพระบาท แล้วบอกให้กลับมาทูลฝ่าพระบาทว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ในอิสราเอลไม่มีพระเจ้าหรือ ทำไมเจ้าจึงต้องส่งคนไปปรึกษาบาอัลเซบูบเทพเจ้าแห่งเอโครน? เพราะเหตุนี้เจ้าจะไม่ได้ลุกจากเตียง แต่จะต้องตายแน่นอน!’ ”

7 กษัตริย์ตรัสถามว่า “ชายคนที่มาพบและบอกเรื่องนี้แก่พวกเจ้าหน้าตาท่าทางเป็นอย่างไร?”

8 พวกเขาทูลว่า “เขาสวมเสื้อคลุมขนสัตว์และใช้สายหนังคาดเอว”

กษัตริย์ตรัสว่า “เขาคือเอลียาห์ชาวทิชบี”

9 แล้วพระองค์ทรงใช้นายทหารคนหนึ่งพร้อมด้วยทหารห้าสิบนายไปหาเอลียาห์ นายทหารขึ้นไปพบเอลียาห์ซึ่งนั่งอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง และกล่าวกับเขาว่า “คนของพระเจ้า กษัตริย์ตรัสว่า ‘จงลงมาเถิด!’ ”

10 เอลียาห์ตอบนายทหารผู้นั้นว่า “หากเราเป็นคนของพระเจ้า ขอให้ไฟตกลงมาจากสวรรค์เผาผลาญเจ้าและทหารทั้งห้าสิบนายของเจ้า!” ไฟก็ตกลงมาเผาผลาญนายทหารและคนของเขาวอดวาย

11 กษัตริย์จึงส่งนายทหารอีกคนพร้อมด้วยทหารห้าสิบนายมา นายทหารกล่าวกับเอลียาห์ว่า “คนของพระเจ้า กษัตริย์ตรัสว่า ‘จงลงมาทันที!’ ”

12 เอลียาห์ตอบว่า “หากเราเป็นคนของพระเจ้า ขอให้ไฟตกลงมาจากสวรรค์เผาผลาญเจ้าและทหารห้าสิบนายของเจ้า!” แล้วไฟจากพระเจ้าก็ลงมาจากสวรรค์เผานายทหารและทหารทั้งห้าสิบนายวอดวาย

13 กษัตริย์จึงส่งนายทหารกับทหารอีกห้าสิบนายมาเป็นครั้งที่สาม คราวนี้นายทหารคุกเข่าลงอ้อนวอนต่อหน้าเอลียาห์ว่า “ข้าแต่คนของพระเจ้า โปรดไว้ชีวิตข้าพเจ้าและคนทั้งห้าสิบคนซึ่งเป็นผู้รับใช้ของท่าน!

14 ไฟจากสวรรค์ได้ลงมาเผาผลาญนายทหารสองคนก่อนหน้านี้กับพวก แต่บัดนี้ขอให้ไว้ชีวิตข้าพเจ้าเถิด!”

15 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเอลียาห์ว่า “อย่ากลัวเลย ไปกับเขาเถิด” เอลียาห์จึงลงไปกับเขา แล้วไปเข้าเฝ้ากษัตริย์

16 เอลียาห์ทูลกษัตริย์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า เป็นเพราะในอิสราเอลไม่มีพระเจ้าให้ปรึกษาใช่ไหม เจ้าจึงต้องส่งคนไปถามบาอัลเซบูบเทพเจ้าแห่งเอโครน? เนื่องจากเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะไม่ได้ลุกจากเตียง แต่เจ้าจะต้องตายแน่นอน!”

17 ดังนั้นอาหัสยาห์จึงสิ้นพระชนม์ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ผ่านทางเอลียาห์

เนื่องจากอาหัสยาห์ไม่มีโอรส โยรัมจึงขึ้นครองราชย์แทน ตรงกับปีที่สองแห่งรัชกาลกษัตริย์เยโฮรัมโอรสเยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์

18 เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลอาหัสยาห์ และพระราชกิจที่ทรงทำมีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ?

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/2KI/1-98f6009596d41a990480e206ca84739b.mp3?version_id=179—

2พงศ์กษัตริย์ 2

พระเจ้าทรงรับเอลียาห์ขึ้นสวรรค์

1 เมื่อใกล้เวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงรับเอลียาห์ขึ้นสวรรค์ด้วยพายุหมุน เอลียาห์กับเอลีชาเดินทางออกจากกิลกาล

2 เอลียาห์กล่าวกับเอลีชาว่า “เจ้าจงพักที่นี่เถิดองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้เราไปยังเบธเอล”

แต่เอลีชาตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่และท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าก็จะไม่ไปจากท่านฉันนั้น” คนทั้งสองจึงเดินทางไปยังเบธเอลด้วยกัน

3 บรรดาผู้เผยพระวจนะที่เบธเอลออกมาพบเอลีชาและถามว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะรับอาจารย์ของท่านไปในวันนี้?”

เอลีชาตอบว่า “เรารู้แล้ว อย่าพูดเรื่องนี้เลย”

4 แล้วเอลียาห์กล่าวกับเอลีชาว่า “เอลีชาเอ๋ย จงพักอยู่ที่นี่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้เราไปยังเมืองเยรีโค”

เอลีชาตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่และท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่ไปจากท่านฉันนั้น” คนทั้งสองจึงเดินทางต่อไปยังเมืองเยรีโค

5 บรรดาผู้เผยพระวจนะที่เมืองเยรีโคมาหาเอลีชา และถามเขาว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะรับอาจารย์ของท่านไปในวันนี้?”

เอลีชาตอบว่า “เรารู้แล้ว อย่าพูดเรื่องนี้เลย”

6 เอลียาห์จึงกล่าวกับเอลีชาว่า “จงพักอยู่ที่นี่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้เราไปยังแม่น้ำจอร์แดน”

เอลีชาตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่และท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่ไปจากท่านฉันนั้น” คนทั้งสองจึงเดินทางต่อไปด้วยกัน

7 เอลียาห์กับเอลีชามาหยุดอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดน ขณะที่ผู้เผยพระวจนะห้าสิบคนยืนดูอยู่ห่างๆ

8 แล้วเอลียาห์ถอดเสื้อคลุมออก ม้วนและฟาดลงที่แม่น้ำ น้ำก็แยกออก คนทั้งสองจึงเดินข้ามไปบนพื้นแห้ง

9 เมื่อข้ามมาแล้ว เอลียาห์กล่าวกับเอลีชาว่า “บอกมาเถิด เราจะทำอะไรให้เจ้าได้บ้างก่อนที่เราจะถูกรับไป?”

เอลีชาตอบว่า “โปรดให้ข้าพเจ้าได้รับมรดกในฤทธิ์อำนาจของท่านเป็นสองเท่า”

10 เอลียาห์กล่าวว่า “เจ้าขอสิ่งที่ยากนัก แต่หากเจ้าเห็นเราถูกรับขึ้นไป เจ้าก็จะได้รับตามที่ขอ หากไม่เห็น เจ้าก็จะไม่ได้”

11 ขณะที่คนทั้งสองเดินสนทนากันไป ทันใดนั้นเองมีราชรถเพลิงเทียมด้วยม้าเพลิงปรากฏขึ้น และแยกคนทั้งสองจากกัน เอลียาห์ก็ถูกพายุหมุนหอบขึ้นสู่สวรรค์

12 เอลีชาเห็นดังนั้น จึงร้องตะโกนว่า “ท่านบิดา! ท่านบิดาของข้าพเจ้า! ผู้เป็นราชรถและพลม้าแห่งอิสราเอล” แล้วเอลีชาก็ไม่เห็นเอลียาห์อีก เขาจึงฉีกเสื้อผ้าของตนขาด

13 จากนั้นเขาจึงหยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ที่ตกอยู่ขึ้นมา และกลับไปยืนที่ริมฝังแม่น้ำจอร์แดน

14 แล้วเอาเสื้อคลุมนั้นฟาดน้ำและร้องว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของเอลียาห์อยู่ที่ไหน?” น้ำก็แยกออก เอลีชาจึงเดินข้ามไป

15 บรรดาผู้เผยพระวจนะจากเมืองเยรีโคซึ่งเฝ้าดูอยู่ก็กล่าวว่า “ฤทธิ์อำนาจของเอลียาห์มาอยู่กับเอลีชาแล้ว” พวกเขาพากันมากราบคำนับเอลีชาและกล่าวว่า

16 “ท่านขอรับ พวกข้าพเจ้ามีคนหนุ่มฉกรรจ์ห้าสิบคน ให้พวกเขาออกไปค้นหาอาจารย์ของท่านเถิด บางทีพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าอาจจะรับอาจารย์ของท่านขึ้นไป และปล่อยไว้บนภูเขาหรือหุบเขาแห่งใดแห่งหนึ่ง”

เอลีชาตอบว่า “ไม่ต้องส่งพวกเขาไป”

17 แต่พวกเขารบเร้าจนเอลีชาขัดไม่ได้ เขาจึงกล่าวว่า “จะไปก็ไป” จากนั้นคนห้าสิบคนก็ออกไปตามหาตลอดสามวัน แต่ไม่พบเอลียาห์

18 ส่วนเอลีชายังคงอยู่ที่เมืองเยรีโค เมื่อพวกเขากลับมาถึง เอลีชาจึงกล่าวกับพวกเขาว่า “เราบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ต้องไป?”

น้ำกลับคืนสู่สภาพดี

19 ชาวเมืองนั้นมาแจ้งเอลีชาว่า “ท่านก็เห็นแล้วว่าเมืองนี้ตั้งอยู่ในทำเลดี แต่น้ำนั้นใช้ไม่ได้และแผ่นดินก็ไม่เกิดผล”

20 เอลีชากล่าวว่า “จงเอาชามใหม่ใส่เกลือมาให้เรา” พวกเขาก็นำมาให้เอลีชา

21 เอลีชาจึงเดินออกไปที่บ่อน้ำเมืองนั้น เทเกลือลงไปและประกาศว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เราได้ทำให้น้ำแห่งนี้มีสภาพดีแล้ว ตั้งแต่นี้ไปมันจะไม่เป็นเหตุให้ตายหรือทำให้แผ่นดินไม่เกิดผลอีก’ ”

22 น้ำก็คงสภาพดีเช่นนั้นตลอดมาจนทุกวันนี้ ตามที่เอลีชาได้กล่าวไว้

ล้อเลียนเอลีชา

23 จากที่นั่นเอลีชาเดินทางไปยังเบธเอล ระหว่างทางมีเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งออกมาจากเมืองนั้น มาถากถางล้อเลียนเขาว่า “ออกไปให้พ้น เจ้าคนหัวล้าน! ออกไปให้พ้น เจ้าคนหัวล้าน!”

24 เอลีชาจึงหันกลับมามอง และสาปแช่งพวกเขาในพระนามของพระยาห์เวห์ แล้วมีแม่หมีสองตัวออกจากป่ามาฆ่าพวกเขาตายไป 42 คน

25 จากนั้นเอลีชาไปยังภูเขาคารเมล และจากที่นั่นกลับมายังสะมาเรีย

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/2KI/2-b83bec518a05cba86ef825cee587c48f.mp3?version_id=179—

2พงศ์กษัตริย์ 3

โมอับแข็งข้อ

1 โยรัมโอรสของอาหับขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลในสะมาเรีย ตรงกับปีที่สิบแปดของรัชกาลกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ ทรงครองราชย์อยู่สิบสองปี

2 พระองค์ทรงทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ไม่ถึงขนาดที่ราชบิดาและราชมารดาของพระองค์ได้ทรงทำไว้ พระองค์ทรงกวาดล้างหินศักดิ์สิทธิ์ของพระบาอัลซึ่งราชบิดาได้สร้างไว้

3 แต่โยรัมยังคงยึดมั่นในบาปของเยโรโบอัมบุตรเนบัทซึ่งชักนำอิสราเอลให้ทำตาม โยรัมไม่ได้เลิกทำบาปนั้น

4 ฝ่ายกษัตริย์เมชาแห่งโมอับทรงเลี้ยงแกะ พระองค์ต้องนำลูกแกะหนึ่งแสนตัวและขนแกะตัวผู้หนึ่งแสนตัวมาเป็นบรรณาการแก่กษัตริย์อิสราเอล

5 แต่หลังจากอาหับสิ้นพระชนม์แล้ว กษัตริย์โมอับก็กบฏต่อกษัตริย์อิสราเอล

6 ครั้งนั้นกษัตริย์โยรัมจึงเสด็จจากสะมาเรีย และระดมทัพอิสราเอลทั้งหมด

7 และส่งสาส์นไปยังกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ มีใจความว่า “กษัตริย์โมอับกบฏต่อข้าพเจ้า ท่านจะช่วยข้าพเจ้ารบกับโมอับหรือไม่?”

เยโฮชาฟัทตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไปกับท่าน เราเป็นพวกเดียวกัน คนของข้าพเจ้าก็เหมือนเป็นคนของท่าน ม้าของข้าพเจ้าก็เหมือนเป็นม้าของท่าน”

8 กษัตริย์เยโฮชาฟัทถามว่า “ว่าแต่เราจะโจมตีจากทางไหน?”

โยรัมตอบว่า “จากถิ่นกันดารเอโดม”

9 ฉะนั้นกษัตริย์อิสราเอลจึงกรีธาทัพออกไปร่วมรบกับกษัตริย์ยูดาห์และกษัตริย์เอโดม หลังจากอ้อมผ่านถิ่นกันดารเป็นเวลาเจ็ดวันก็ไม่มีน้ำเหลือสำหรับคนและสัตว์พาหนะเลย

10 กษัตริย์อิสราเอลตรัสว่า “อะไรกันนี่!องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำเราทั้งสามกษัตริย์มาที่นี่เพื่อมอบไว้ในมือของโมอับหรือ?”

11 แต่เยโฮชาฟัทตรัสถามว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าเลยหรือ เราจะได้ขอให้ช่วยทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้า?”

นายทหารคนหนึ่งของกษัตริย์อิสราเอลทูลว่า “เอลีชาบุตรชาฟัทอยู่ที่นี่ เขาเคยเป็นผู้ช่วยของเอลียาห์”

12 เยโฮชาฟัทตรัสว่า “เราจะรู้พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าจากเขาผู้นี้” ฉะนั้นกษัตริย์อิสราเอล กษัตริย์เยโฮชาฟัท และกษัตริย์เอโดมจึงไปพบเอลีชา

13 เอลีชากล่าวกับกษัตริย์อิสราเอลว่า “เรามีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือ? ไปหาผู้เผยพระวจนะของบิดามารดาท่านสิ”

แต่กษัตริย์อิสราเอลตรัสว่า “ไม่ได้ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้านี่แหละทรงเรียกเราทั้งสามกษัตริย์มาเพื่อมอบไว้ในมือของโมอับ”

14 เอลีชาตอบว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ซึ่งเรารับใช้ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่กษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ เราจะไม่มองหน้าท่านฉันนั้น ไม่ใส่ใจด้วยซ้ำว่าท่านอยู่ที่นี่

15 บัดนี้ขอให้ไปหานักเล่นพิณมาคนหนึ่ง”

ขณะที่นักเล่นพิณกำลังบรรเลง พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาเหนือเอลีชา

16 และเขากล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงทำให้หุบเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยหลุมบ่อ

17 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า ท่านจะไม่เห็นลมไม่เห็นฝน แต่หุบเขาแห่งนี้จะมีน้ำเต็ม เพื่อให้ท่านกับฝูงวัวและสัตว์อื่นๆ มีน้ำดื่ม

18 การนี้เป็นเรื่องง่ายในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งพระองค์จะทรงมอบโมอับไว้ในมือของท่าน

19 ท่านจะพิชิตหัวเมืองเอกและหัวเมืองป้อมปราการทุกเมืองของเขา ท่านจะโค่นต้นไม้งามๆ ทุกต้น อุดตาน้ำทั้งหลายและทำลายแผ่นดินดีๆ ทั้งหมดด้วยหิน”

20 วันรุ่งขึ้นประมาณเวลาถวายเครื่องบูชายามเช้า มีน้ำไหลมาจากทางเอโดม ไม่ช้าน้ำก็นองแผ่นดิน

21 ฝ่ายโมอับได้ยินว่าบรรดากษัตริย์มารบกับตน ก็เกณฑ์ผู้ชายทุกคนที่พอจะรบทัพจับศึกได้ ไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ และให้คนเหล่านั้นประจำการอยู่ที่ชายแดน

22 เมื่อพวกโมอับตื่นขึ้นแต่เช้า ดวงอาทิตย์ส่องพื้นน้ำ พวกเขามองเห็นน้ำมีสีแดงฉานเหมือนเลือด

23 พวกเขาก็ร้องว่า “เลือดนี่นา! สามทัพนั้นคงตะลุมบอนฆ่าฟันกันเอง พี่น้องโมอับเอ๋ย เราไปริบข้าวของกันดีกว่า!”

24 แต่เมื่อพวกโมอับมาถึงค่ายพักของอิสราเอล กองทัพอิสราเอลก็กรูเข้าไปสู้รบจนพวกเขาพ่ายหนี ฝ่ายอิสราเอลบุกเข้าไปในดินแดนและสังหารชาวโมอับ

25 พวกเขาทำลายเมืองต่างๆ แต่ละคนเอาก้อนหินกลบพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์เสียหมด ถมทางน้ำทั้งหลาย โค่นต้นไม้ดีๆ ทั้งหมด จนเหลือแต่เมืองคีร์หะเรเสทที่ยังไม่ถูกทำลายแต่คีร์หะเรเสทก็ถูกล้อม และถูกโจมตีด้วยน้ำมือทหารที่ใช้สลิง

26 เมื่อกษัตริย์โมอับเห็นว่าแพ้สงคราม จึงนำพลดาบเจ็ดร้อยคนตีฝ่าออกไปด้านกษัตริย์เอโดมแต่ไม่สำเร็จ

27 เขาจึงนำโอรสหัวปีซึ่งจะได้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปมาฆ่าและเผาบูชายัญบนกำแพงเมือง พวกเขาคั่งแค้นอิสราเอลยิ่งนักและต่างถอนทัพกลับไปยังดินแดนของตน

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/2KI/3-68920294ebfa23671600703df76301ae.mp3?version_id=179—

2พงศ์กษัตริย์ 4

น้ำมันของหญิงม่าย

1 มีภรรยาของผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งมาร้องต่อเอลีชาว่า “ผู้รับใช้ของท่านผู้เป็นสามีของดิฉันเสียชีวิตแล้ว และท่านก็ทราบว่าเขายำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าตอนนี้เจ้าหนี้จะมายึดลูกชายสองคนของดิฉันไปเป็นทาส”

2 เอลีชาตอบว่า “เราจะช่วยอะไรได้บ้าง? ที่บ้านของเจ้ามีอะไรบ้างล่ะ?”

นางตอบว่า “ไม่มีอะไรเลยนอกจากน้ำมันเพียงเล็กน้อย”

3 เอลีชากล่าวว่า “จงไปขอไหเปล่าจากเพื่อนบ้านทุกคน จงขอมาหลายๆ ใบ

4 แล้วเข้าไปในบ้านกับลูก ปิดประตู เทน้ำมันลงไหทุกใบ พอเต็มใบหนึ่งก็ยกไปตั้งไว้ต่างหาก”

5 นางก็กลับไปที่บ้านและปิดประตู บุตรชายของนางนำไหมาให้ นางก็เทน้ำมัน

6 เมื่อไหทุกใบเต็ม นางบอกลูกชายว่า “เอาไหมาให้แม่อีกใบสิ”

ลูกชายตอบว่า “ไม่มีเหลือแล้ว” น้ำมันก็หยุดไหล

7 นางจึงไปแจ้งเอลีชาคนของพระเจ้า และเขากล่าวว่า “จงไปขายน้ำมันเอาเงินใช้หนี้ ส่วนที่เหลือเจ้ากับลูกๆ เก็บไว้เลี้ยงชีวิต”

บุตรของหญิงชาวชูเนมฟื้นคืนชีวิต

8 วันหนึ่งเอลีชาไปที่ชูเนม ในเมืองนั้นมีหญิงมั่งมีคนหนึ่งเชิญเขาไปรับประทานอาหาร ฉะนั้นทุกครั้งที่เขาเดินทางผ่านมาก็จะแวะไปรับประทานอาหารที่นั่น

9 หญิงนั้นกล่าวกับสามีว่า “ดิฉันรู้ว่าชายคนที่แวะเวียนเข้ามาบ่อยๆ คนนี้คือคนบริสุทธิ์ของพระเจ้า

10 ให้เราจัดห้องเล็กบนดาดฟ้าสำหรับเขา ยกเตียง โต๊ะ เก้าอี้ และตะเกียงเข้าไปตั้ง ทุกครั้งที่เขาผ่านมาจะได้แวะพัก”

11 ครั้งหนึ่งเอลีชามาที่นั่นและขึ้นไปพักในห้องนั้น

12 เขาสั่งเกหะซีคนรับใช้ของเขาว่า “ไปเรียกหญิงชาวชูเนมคนนั้นมา” เขาจึงไปเรียกนาง นางก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขา

13 เอลีชากล่าวกับเขาว่า “บอกนางว่า ‘เจ้าต้องลำบากเพื่อจัดสิ่งต่างๆ ให้เรา เราจะทำอะไรให้เจ้าได้บ้าง? อยากให้เราเอ่ยถึงความดีความชอบของเจ้าต่อกษัตริย์หรือต่อแม่ทัพบ้างหรือเปล่า?’ ”

นางตอบว่า “ดิฉันอยู่ในหมู่พี่น้อง ไม่ขาดสิ่งใดเลย”

14 เอลีชาถามว่า “เราจะทำอะไรให้นางได้บ้าง?”

เกหะซีตอบว่า “นางไม่มีลูกและสามีของนางก็ชราแล้ว”

15 เอลีชาจึงพูดว่า “เรียกนางมาเถิด” เขาก็เรียกและนางยืนอยู่ที่ประตู

16 เอลีชากล่าวว่า “ปีหน้าในเวลาราวๆ นี้ เจ้าจะได้อุ้มลูกชายคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขนของเจ้า”

นางร้องว่า “อย่าเลยนายท่าน โอ คนของพระเจ้า โปรดอย่าโกหกผู้รับใช้ของท่านเลย!”

17 แต่หญิงนั้นก็ตั้งครรภ์ และปีต่อมาในช่วงเวลาเดียวกันนั้น นางก็คลอดบุตรชายคนหนึ่งตามที่เอลีชาบอกไว้

18 เมื่อเด็กนั้นโตขึ้น วันหนึ่งเขาออกไปหาบิดาซึ่งทำงานอยู่กับคนงานเก็บเกี่ยว

19 และเขาบอกบิดาว่า “หัวของลูก! หัวของลูก!” บิดาของเด็กจึงสั่งคนรับใช้ว่า “อุ้มเขาไปหาแม่สิ”

20 หลังจากคนรับใช้อุ้มเขาไปหาแม่ เด็กนั้นก็นอนหนุนตักแม่จนเที่ยง แล้วเขาก็ตาย

21 นางอุ้มเขาขึ้นไปนอนบนเตียงของคนของพระเจ้า ปิดประตูและออกมา

22 นางบอกสามีว่า “ช่วยส่งคนรับใช้คนหนึ่งกับลามาให้ดิฉัน ดิฉันจะได้รีบไปหาคนของพระเจ้า แล้วจะรีบกลับมา”

23 สามีถามว่า “ทำไมต้องไปวันนี้ด้วย ไม่ใช่วันขึ้นหนึ่งค่ำหรือวันสะบาโตเลย”

นางตอบว่า “ไม่เป็นไร”

24 นางขึ้นลาและสั่งคนรับใช้ว่า “นำทางไปเร็วๆ ไม่ต้องเป็นห่วงเราหรอกนะ อย่าลดความเร็ว นอกจากเราจะบอกเจ้า”

25 นางจึงออกเดินทางมาหาคนของพระเจ้าที่ภูเขาคารเมล

เมื่อคนของพระเจ้าเห็นนางแต่ไกลก็พูดกับเกหะซีคนรับใช้ว่า “โน่นแน่ะ! หญิงชาวชูเนมคนนั้นกำลังมา!

26 จงวิ่งออกไปรับนาง และถามดูว่า ‘ท่านสบายดีหรือ? สามีของท่านสบายดีหรือ? ลูกของท่านสบายดีหรือเปล่า?’ ”

นางกล่าวว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดี”

27 เมื่อนางมาถึงตัวคนของพระเจ้าที่ภูเขา นางยึดเท้าของเขาไว้แน่น เกหะซีพยายามจะผลักนางออกไป แต่คนของพระเจ้ากล่าวว่า “ปล่อยนางเถิด! นางทุกข์ใจยิ่งนักและองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปิดบังเรื่องนี้ไว้ และไม่ได้ตรัสบอกเราว่าเป็นเพราะเหตุใด”

28 นางกล่าวว่า “ท่านเจ้าข้า ดิฉันขอลูกชายจากท่านหรือ? ดิฉันขอร้องท่านไม่ใช่หรือว่า ‘อย่ามาให้ความหวังดิฉันเลย’?”

29 เอลีชากล่าวกับเกหะซีว่า “จงคาดเอวทับเสื้อคลุมให้ทะมัดทะแมง ถือไม้เท้าของเราวิ่งไป หากพบใครไม่ต้องทักทาย ถ้ามีใครร้องทักก็อย่าตอบ จงเอาไม้เท้าของเราไปวางบนหน้าเด็ก”

30 แต่มารดาของเด็กกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่และท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ดิฉันจะไม่ไปจากท่านฉันนั้น” ฉะนั้นเขาจึงลุกขึ้นและตามนางไป

31 เกหะซีล่วงหน้าไปก่อนและเอาไม้เท้าวางบนหน้าเด็ก แต่ไม่มีเสียงหรือการตอบสนองใดๆ เกหะซีจึงกลับมาบอกเอลีชาว่า “เด็กนั้นยังไม่ฟื้น”

32 เมื่อเอลีชามาถึง เด็กนั้นนอนตายอยู่บนเตียงของเอลีชา

33 เขาก็เข้าไป ปิดประตูอยู่กับเด็กนั้นตามลำพังและอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

34 จากนั้นเขาขึ้นไปบนเตียงและนอนทาบบนร่างของเด็ก เอาปากทาบบนปาก ตาประกบตา มือประกบมือ ขณะที่เขาเหยียดกายลงบนเด็กนั้น ร่างของเด็กก็เริ่มอบอุ่นขึ้น

35 เอลีชาลงจากเตียง เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง แล้วขึ้นไปบนเตียง เอนร่างทับบนร่างเด็กอีกครั้ง เด็กนั้นก็จามเจ็ดครั้ง แล้วลืมตาขึ้น

36 เอลีชาจึงเรียกเกหะซีมา แล้วสั่งว่า “ไปเรียกหญิงชาวชูเนมมา” เขาก็ไปเรียก เมื่อนางมา เอลีชากล่าวว่า “รับลูกของเจ้าไปเถิด”

37 นางเข้ามาหมอบลงกับพื้นแทบเท้าของเขา แล้วอุ้มลูกเดินออกไป

อาหารมีพิษ

38 เอลีชากลับไปยังกิลกาล เกิดการกันดารอาหารในแถบนั้น วันหนึ่งขณะที่เขานั่งอยู่ต่อหน้ากลุ่มผู้เผยพระวจนะ เขาบอกคนรับใช้ของเขาว่า “ทำอาหารหม้อใหญ่เลี้ยงคนพวกนี้ด้วย”

39 คนหนึ่งออกไปเก็บผักกลางทุ่ง แล้วเก็บน้ำเต้าป่ามา เขาหั่นใส่หม้อโดยไม่รู้ว่าเป็นผลอะไร

40 ครั้นตักอาหารรับประทานกัน พอเริ่มรับประทานก็ร้องว่า “ข้าแต่คนของพระเจ้า มีความตายอยู่ในหม้อนี้” และพวกเขารับประทานอาหารนั้นไม่ได้

41 เอลีชากล่าวว่า “เอาแป้งมาสิ” แล้วเขาก็เอาแป้งใส่หม้อ แล้วบอกว่า “ตักให้ทุกคนกินได้แล้ว” อาหารก็ไม่เป็นพิษอีก

การเลี้ยงคนนับร้อย

42 ชายคนหนึ่งจากบาอัลชาลิชาห์นำขนมปังข้าวบาร์เลย์ยี่สิบก้อนทำจากเมล็ดข้าวผลแรกของการเก็บเกี่ยว พร้อมด้วยรวงข้าวใหม่มามอบให้คนของพระเจ้า เอลีชาจึงสั่งว่า “จงนำไปเลี้ยงคนทั้งหลาย”

43 คนรับใช้ถามว่า “ของแค่นี้จะเลี้ยงคนนับร้อยได้อย่างไร?”

แต่เอลีชาตอบว่า “ไปเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘พวกเขาจะได้กินและยังมีเหลืออีก’ ”

44 เขาก็เอาขนมปังมากินกันและมีเหลือด้วยตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/2KI/4-f77a3b8d22c3ae2d5f5e73f08255015f.mp3?version_id=179—

2พงศ์กษัตริย์ 5

นาอามานหายจากโรคเรื้อน

1 ฝ่ายนาอามานเป็นแม่ทัพของกษัตริย์อารัม เขาเป็นคนสำคัญของเจ้านายและเป็นที่ยกย่องนับถือ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานชัยชนะแก่ประเทศอารัมผ่านทางเขา เขาเป็นนักรบเก่งกล้า แต่เป็นโรคเรื้อน

2 กองทหารอารัมได้ไปรุกรานอิสราเอล และในบรรดาเชลย มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งถูกยกให้เป็นสาวใช้ของภรรยานาอามาน

3 เด็กหญิงผู้นี้พูดกับนายหญิงว่า “หนูอยากให้นายท่านไปพบผู้เผยพระวจนะในสะมาเรีย! เขาผู้นั้นจะได้รักษานายท่านให้หายจากโรคเรื้อน”

4 นาอามานจึงกราบทูลเจ้านายตามที่เด็กผู้หญิงจากอิสราเอลคนนั้นบอก

5 กษัตริย์อารัมตรัสว่า “อย่างนี้ต้องไปให้ได้ เราจะฝากสาส์นไปถึงกษัตริย์อิสราเอล” นาอามานจึงออกเดินทาง นำเงินหนักประมาณ 340 กิโลกรัมทองหนักประมาณ 70 กิโลกรัมและเสื้อผ้าสิบชุดมาด้วย

6 สาส์นถึงกษัตริย์อิสราเอลนั้นมีใจความว่า “พร้อมกับสาส์นนี้ เราขอส่งนาอามานผู้รับใช้ของเรามาให้ท่านรักษาโรคเรื้อน”

7 เมื่อกษัตริย์อิสราเอลได้อ่านสาส์นนั้นก็ฉีกฉลองพระองค์และตรัสว่า “เราเป็นพระเจ้าหรือ? ที่จะสามารถทำลายหรือให้ชีวิตได้? ทำไมเขาส่งคนโรคเรื้อนมาให้เรารักษา ดูสิ เขาพยายามหาเหตุมารุกรานเรานั่นเอง!”

8 เมื่อเอลีชาคนของพระเจ้าได้ยินว่ากษัตริย์อิสราเอลทรงฉีกฉลองพระองค์ ก็ส่งข่าวมาทูลพระองค์ว่า “ทำไมฝ่าพระบาทจึงทรงฉีกฉลองพระองค์? ขอส่งชายคนนั้นมาพบข้าพระบาท แล้วเขาจะได้รู้ว่ามีผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งในอิสราเอล”

9 นาอามานจึงนั่งรถม้าศึกมาหยุดอยู่หน้าประตูบ้านของเอลีชา

10 เอลีชาส่งคนออกมาบอกนาอามานว่า “จงไปชำระตัวของท่านในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้ง แล้วเนื้อของท่านจะกลับเป็นปกติและท่านจะหาย”

11 แต่นาอามานโกรธจัดและกล่าวว่า “เราคิดว่าเขาจะออกมาพบเรา มายืนร้องทูลพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา โบกไม้โบกมือเหนือแผลและรักษาเราให้หายจากโรคเรื้อน

12 แม่น้ำอาบานาและแม่น้ำฟารปาร์ที่ดามัสกัสไม่ดีกว่าแม่น้ำของอิสราเอลหรือ? เราไปอาบในแม่น้ำเหล่านั้นให้หายจากโรคไม่ได้หรือ?” ว่าแล้วนาอามานก็ผลุนผลันออกไปด้วยความโกรธ

13 แต่บ่าวของนาอามานไปพูดกับนายว่า “ท่านบิดา ถ้าผู้เผยพระวจนะบอกให้ท่านทำอะไรยากๆ ท่านจะไม่ทำหรอกหรือ? ยิ่งกว่านั้นเท่าใดท่านน่าจะทำตามเมื่อเขาบอกว่า ‘จงไปชำระตัวแล้วก็จะหาย’!”

14 ฉะนั้นนาอามานจึงลงไปที่แม่น้ำจอร์แดน แล้วจุ่มตัวเจ็ดครั้งตามที่คนของพระเจ้าสั่งไว้ แล้วเนื้อตัวของเขาก็กลับเป็นเหมือนเด็กหนุ่ม และหายจากโรคเรื้อน

15 นาอามานและผู้ติดตามทั้งหมดจึงกลับมาพบคนของพระเจ้า เขายืนอยู่ต่อหน้าเอลีชาและกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทราบแล้วว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดในโลกนอกจากในอิสราเอล บัดนี้โปรดรับของกำนัลจากผู้รับใช้ของท่านเถิด”

16 แต่ผู้เผยพระวจนะตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เรารับใช้ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เราจะไม่รับแม้แต่สิ่งเดียวฉันนั้น” ถึงนาอามานคะยั้นคะยอ เขาก็ยืนกรานปฏิเสธ

17 นาอามานกล่าวว่า “ในเมื่อท่านไม่ยอมรับของกำนัล ก็ขอดินเท่าที่ล่อสองตัวจะบรรทุกได้ให้แก่ผู้รับใช้ของท่านเอากลับไปบ้าน เพราะต่อแต่นี้ไปผู้รับใช้ของท่านจะไม่ถวายเครื่องเผาบูชาหรือของถวายแด่เทพเจ้าอื่นใด เว้นแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า

18 แต่ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอภัยโทษผู้รับใช้ของท่านเรื่องหนึ่งคือ เมื่อกษัตริย์ผู้เป็นเจ้านายของข้าพเจ้าเข้าไปในวิหารของเทพเจ้าริมโมนเพื่อกราบไหว้ ข้าพเจ้าจะต้องคอยพยุงพระองค์และต้องค้อมตัวลงด้วย ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอภัยผู้รับใช้ของท่านที่จะต้องค้อมตัวลงคำนับในวิหารของเทพเจ้าริมโมน”

19 เอลีชากล่าวว่า “ไปโดยสวัสดิภาพเถิด”

หลังจากนาอามานออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง

20 เกหะซีคนรับใช้ของเอลีชาคนของพระเจ้ารำพึงว่า “นายของเราใจดีเกินไป ไม่น่าปล่อยให้นาอามานคนอารัมไปโดยไม่รับของกำนัลจากเขาองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เราจะวิ่งตามเขาไปและเอาบางอย่างจากเขาฉันนั้น”

21 ดังนั้นเกหะซีรีบรุดตามนาอามานไป เมื่อนาอามานเห็นเขาวิ่งมาหา ก็ลงจากรถม้ามาถามว่า “มีอะไรหรือ?”

22 เกหะซีตอบว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดี นายของข้าพเจ้าให้มาเรียนว่า ‘มีผู้เผยพระวจนะสองคนจากเทือกเขาเอฟราอิมเพิ่งมาถึง โปรดให้เงินหนักประมาณ 34 กิโลกรัมกับเสื้อผ้าสองชุดแก่เขา’ ”

23 นาอามานตอบว่า “เอาไปประมาณ 68 กิโลกรัมเลย” แล้วเขาก็ให้เสื้อผ้าสองชุด มัดแท่งเงินหนัก 68 กิโลกรัมเข้าด้วยกัน ใส่เป็นสองถุงมอบให้คนรับใช้สองคนแบกนำหน้าเกหะซีกลับไป

24 เมื่อเกหะซีมาถึงเนินเขา ก็รับถุงจากคนรับใช้นั้นเก็บไว้ในบ้าน แล้วให้คนรับใช้นั้นกลับไป

25 แล้วเกหะซีเข้ามายืนต่อหน้าเอลีชาผู้เป็นนาย

เอลีชาถามว่า “เจ้าไปไหนมาเกหะซี?”

เขาตอบว่า “ผู้รับใช้ของท่านไม่ได้ไปไหนเลย”

26 เอลีชากล่าวว่า “เมื่อชายผู้นั้นลงจากรถของเขามาพบเจ้า จิตใจของเราอยู่กับเจ้าด้วยไม่ใช่หรือ? นี่เป็นโอกาสที่จะรับเงิน เสื้อผ้า สวนมะกอก สวนองุ่น แกะ วัวและคนรับใช้ชายหญิงหรือ?

27 โรคเรื้อนของนาอามานจะติดตัวเจ้ากับลูกหลานตลอดไป” แล้วเกหะซีก็เป็นโรคเรื้อน เดินออกไปจากเอลีชา ผิวของเขาเป็นด่างขาวเหมือนหิมะ

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/2KI/5-e4b44fc7037c4be3864e1416db77f8ee.mp3?version_id=179—

2พงศ์กษัตริย์ 6

หัวขวานลอยน้ำ

1 กลุ่มผู้เผยพระวจนะกล่าวกับเอลีชาว่า “ดูเถิดสถานที่ซึ่งเราอยู่กับท่านนี้ก็คับแคบไปแล้ว

2 พวกข้าพเจ้าขอไปตัดต้นไม้และสร้างที่อยู่อาศัยที่แม่น้ำจอร์แดน”

เขาตอบว่า “ไปเถิด”

3 คนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ท่านขอรับ โปรดไปกับเหล่าผู้รับใช้ของท่านด้วย”

เอลีชาตอบว่า “เราจะไป”

4 แล้วเอลีชาก็ไปกับพวกเขา

เมื่อพวกเขามาถึงแม่น้ำจอร์แดนก็เริ่มตัดไม้

5 ขณะนั้นมีคนหนึ่งทำหัวขวานเหล็กหลุดตกลงในแม่น้ำ เขาจึงร้องว่า “แย่แล้วนายท่าน นี่เป็นขวานที่ขอยืมมา!”

6 คนของพระเจ้าถามว่า “มันตกลงไปที่ไหน?” คนนั้นชี้ให้เขาดูตำแหน่งที่หัวขวานตกลงไป เอลีชาจึงตัดกิ่งไม้เหวี่ยงลงตรงนั้น แล้วหัวขวานเหล็กก็ลอยขึ้นมา

7 เอลีชาพูดกับคนนั้นว่า “หยิบขึ้นมาเถิด” เขาก็เอื้อมมือไปหยิบขึ้นมา

เอลีชาวางกับดักชาวอารัมที่ตาบอด

8 ครั้งนั้นกษัตริย์อารัมรบกับอิสราเอล เมื่อใดที่พระองค์ตรัสกับทหารว่า “เราจะยกกำลังไปตั้งค่ายที่นั่นที่นี่”

9 คนของพระเจ้าก็จะเตือนกษัตริย์อิสราเอลว่า “อย่าไปใกล้ที่นั่นเพราะพวกอารัมกำลังจะยกทัพมา”

10 กษัตริย์อิสราเอลก็ส่งคนไปตรวจดูสถานที่ซึ่งคนของพระเจ้าระบุไว้ เอลีชาเตือนกษัตริย์ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อจะทรงระแวดระวังที่เหล่านั้น

11 เรื่องนี้ทำให้กษัตริย์อารัมกริ้วนัก จึงทรงเรียกประชุมนายทหารและตรัสสั่งว่า “พวกท่านจะไม่ยอมบอกหรือว่าใครในพวกเราที่เป็นสายให้กษัตริย์อิสราเอล?”

12 ทหารคนหนึ่งทูลว่า “ข้าแต่องค์กษัตริย์ ไม่ใช่พวกข้าพระบาท แต่ผู้เผยพระวจนะเอลีชาในอิสราเอลต่างหากเป็นผู้ทูลกษัตริย์อิสราเอล แม้กระทั่งเนื้อความที่ฝ่าพระบาทตรัสในห้องบรรทม”

13 กษัตริย์จึงตรัสสั่งว่า “จงไปสืบดูว่าเขาอยู่ที่ไหน เราจะส่งทหารไปจับตัวมา” มีผู้มาทูลว่า “เอลีชาอยู่ที่โดธาน”

14 พระองค์จึงทรงส่งม้า รถม้าศึก และกองกำลังใหญ่มาในเวลากลางคืน และล้อมเมืองนั้นไว้

15 รุ่งขึ้นเมื่อคนรับใช้ของผู้เผยพระวจนะตื่นขึ้น และออกไปข้างนอกก็เห็นกองทัพม้าและรถม้าศึกล้อมเมืองอยู่ จึงบอกเอลีชาว่า “แย่แล้วนายท่าน เราจะทำอย่างไรกันดี?”

16 เอลีชากล่าวว่า “อย่าตกใจกลัวไปเลย ฝ่ายเรามีมากกว่าฝ่ายเขา”

17 แล้วเอลีชาอธิษฐานว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงเบิกตาให้เขาเห็น”องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงเบิกตาให้คนรับใช้นั้นเห็นรอบเนินเขาเต็มไปด้วยม้าและรถม้าศึกเพลิงรายรอบเอลีชา

18 ขณะที่ฝ่ายศัตรูตรงเข้ามา เอลีชาอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ขอให้คนเหล่านี้ตาพร่ามัวให้หมด” พระเจ้าก็ให้พวกเขาตาพร่ามัวเหมือนที่เอลีชาทูลขอ

19 เอลีชาบอกพวกเขาว่า “นี่ไม่ใช่เส้นทางและเมืองที่พวกท่านจะไป ตามเรามาสิ เราจะพาท่านไปหาคนที่ท่านต้องการ” แล้วเอลีชาก็พาพวกเขาไปยังสะมาเรีย

20 เมื่อพวกเขาเข้ามาในเมืองแล้ว เอลีชาก็อธิษฐานว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงเบิกตาของพวกเขาให้มองเห็น”องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงเบิกตาของพวกเขา พวกเขามองดูก็เห็นว่าตนมาอยู่ในสะมาเรีย

21 เมื่อกษัตริย์อิสราเอลทอดพระเนตรเห็นพวกเขา พระองค์ก็ถามเอลีชาว่า “บิดาเจ้าข้า เราจะฆ่าพวกเขาได้ไหม? จะฆ่าเขาดีไหม?”

22 เอลีชาตอบว่า “อย่าเลย ท่านจะฆ่าเชลยศึกด้วยดาบและธนูของท่านหรือ จงให้อาหารเขากิน และให้น้ำเขาดื่ม แล้วปล่อยเขากลับไปหาเจ้านายของเขาเถิด”

23 ดังนั้นกษัตริย์จึงทรงจัดงานเลี้ยงใหญ่ให้พวกเขา หลังจากกินดื่มแล้ว พระองค์ก็ทรงส่งพวกเขากลับไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ของตน ตั้งแต่นั้นมากองโจรจากอารัมก็ไม่มากล้ำกรายดินแดนอิสราเอลอีกเลย

เมืองสะมาเรียกันดารอาหารเพราะถูกปิดล้อม

24 อยู่มาภายหลังกษัตริย์เบนฮาดัดแห่งอารัมทรงระดมกองทัพทั้งหมดมาล้อมเมืองสะมาเรีย

25 เป็นเหตุให้เกิดการกันดารอาหารครั้งใหญ่ในเมืองนั้น การล้อมเมืองยืดเยื้อจนแม้แต่หัวลายังมีราคาสูงเป็นเงินหนักถึง 80 เชเขลและเมล็ดถั่วป่าประมาณ 0.3 ลิตรซื้อขายกันเป็นเงินหนัก 5 เชเขล

26 ขณะกษัตริย์อิสราเอลเสด็จผ่านใกล้กำแพงเมือง หญิงคนหนึ่งร้องทูลว่า “ฝ่าพระบาท โปรดเมตตาหม่อมฉันด้วยเถิด!”

27 กษัตริย์ตรัสตอบว่า “หากองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงช่วยเจ้า เราจะหาความช่วยเหลือจากที่ไหนมาให้เจ้า? จากลานนวดข้าวหรือ? จากบ่อย่ำองุ่นหรือ?”

28 แล้วพระองค์ตรัสถามว่า “มีเรื่องอะไรหรือ?”

หญิงนั้นทูลว่า “ผู้หญิงคนนี้ได้กล่าวกับหม่อมฉันว่า ‘วันนี้ให้เรากินเนื้อลูกชายของเจ้า แล้ววันรุ่งขึ้นเราจะกินเนื้อลูกชายของฉัน’

29 ฉะนั้นพวกเราจึงเอาลูกชายของหม่อมฉันมาทำอาหารกิน ครั้นวันรุ่งขึ้นหม่อมฉันบอกว่า ‘ฆ่าลูกของเธอสิ จะได้เอามากินกัน’ แต่เขากลับซ่อนลูกไว้”

30 เมื่อกษัตริย์ได้ยินเช่นนั้นก็ทรงฉีกฉลองพระองค์ ขณะทรงดำเนินไปตามกำแพงเมือง ประชาชนมองดูเห็นว่าพระองค์ทรงสวมชุดผ้ากระสอบอยู่ข้างใน

31 กษัตริย์ตรัสว่า “ขอให้พระเจ้าทรงจัดการกับเราอย่างหนักที่สุด หากในวันนี้หัวของเอลีชาบุตรชาฟัทยังไม่หลุดจากบ่า!”

32 ฝ่ายเอลีชากำลังนั่งสนทนากับบรรดาผู้อาวุโสอยู่ในบ้าน เมื่อกษัตริย์ทรงใช้คนไปตามตัวเขา ก่อนที่คนนั้นจะมาถึง เอลีชากล่าวกับผู้อาวุโสเหล่านั้นว่า “พวกท่านไม่เห็นหรือว่าฆาตกรนั้นส่งคนมาตัดหัวเราแล้ว? ดูเถิด เมื่อเขามาถึง จงปิดประตู และไล่เขาออกไป นั่นไม่ใช่เสียงฝีเท้าของนายของเขาที่ตามมาข้างหลังหรือ?”

33 เอลีชาพูดยังไม่ทันขาดคำ ผู้สื่อสารก็มาถึงและกษัตริย์ก็เสด็จมาด้วย พระองค์ตรัสว่า “ความเดือดร้อนนี้มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วจะให้เรารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อไปอีกหรือ?”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/2KI/6-b924923b372b828c7321255636635e69.mp3?version_id=179—