เยเรมีย์ 50

พระดำรัสเกี่ยวกับบาบิโลน

1 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์เกี่ยวกับบาบิโลนและดินแดนของชาวบาบิโลนความว่า

2 “จงป่าวร้องและประกาศในหมู่ประชาชาติ

จงชูธงขึ้นประกาศออกไป

อย่าปิดบังเลย แต่จงกล่าวว่า

‘บาบิโลนจะถูกยึด

เบลจะอับอายขายหน้า

มาร์ดุคจะหวาดหวั่นขวัญผวา

เทวรูปของบาบิโลนจะอัปยศอดสู

และอกสั่นขวัญแขวน’

3 ชนชาติหนึ่งจากทางเหนือจะมาโจมตีบาบิโลน

ทำให้ดินแดนนั้นถูกทิ้งร้าง

ไม่มีใครอาศัยอยู่

ทั้งคนและสัตว์จะหนีเตลิดไปหมด”

4 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

“ในเวลานั้น ชนอิสราเอลและยูดาห์

จะร่วมกันแสวงหาพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเขาด้วยน้ำตานองหน้า

5 พวกเขาจะถามทาง

และมุ่งหน้ามายังศิโยน

พวกเขาจะเข้ามาผูกพันกับองค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยพันธสัญญานิรันดร์

ซึ่งจะไม่ถูกลืมเลือน

6 “ประชากรของเราเป็นแกะหลงทาง

คนเลี้ยงของพวกเขาได้พาพวกเขาให้หลงเตลิดไป

และเป็นเหตุให้พวกเขาร่อนเร่อยู่บนภูเขา

พวกเขาซัดเซพเนจรไปเหนือภูเขาและเนินเขา

และลืมถิ่นที่พำนักของตน

7 ผู้ใดพบพวกเขาก็ขย้ำกิน

ศัตรูของพวกเขากล่าวว่า ‘เราไม่ผิด

เพราะพวกเขาทำบาปต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นทุ่งหญ้าที่แท้จริงของพวกเขา

องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นความหวังของบรรพบุรุษของพวกเขา’

8 “จงหนีจากบาบิโลน

จงออกจากดินแดนของชาวบาบิโลนเถิด

และจงเป็นเหมือนแพะนำฝูง

9 เพราะเราจะเร่งเร้ากองทัพพันธมิตรของชนชาติใหญ่ๆ จากทางเหนือ

มาสู้รบกับบาบิโลน

พวกเขาจะเข้าประจำที่ต่อสู้กับมัน

บาบิโลนจะถูกยึดโดยคนจากทางเหนือ

ลูกศรของพวกเขาเหมือนนักรบชำนาญศึก

ออกรบคราใดไม่เคยกลับไปมือเปล่า

10 ดังนั้นบาบิโลนจะถูกปล้น

และโจรทุกคนได้ของมากมาย”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

11 “เพราะเจ้าผู้ปล้นกรรมสิทธิ์ของเรา

กระหยิ่มลิงโลด

เพราะเจ้าร่าเริงอย่างวัวสาวย่ำนวดเมล็ดข้าว

และส่งเสียงร้องอย่างม้าตัวผู้

12 มารดาของเจ้าจะอับอายขายหน้ายิ่งนัก

ผู้ให้กำเนิดเจ้าจะอัปยศอดสู

กลายเป็นผู้ต่ำต้อยที่สุดในหมู่ประชาชาติ

เป็นถิ่นกันดาร เป็นทะเลทรายอันแห้งผาก

13 เนื่องด้วยพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า

บาบิโลนจะกลายเป็นถิ่นร้างไม่มีคนอยู่อาศัย

ทุกคนที่ผ่านไปมาจะตะลึงและเย้ยหยัน

เนื่องจากบาดแผลทั้งหมดของมัน

14 “พวกเจ้าผู้โก่งธนู

จงเข้าประจำที่ล้อมรอบบาบิโลน

ระดมยิงมัน! ไม่ต้องออมลูกศร

เพราะมันได้ทำบาปต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

15 จงโห่ร้องเข้าใส่บาบิโลนทุกด้าน!

มันยอมแพ้ หอคอยต่างๆ พังทลาย

กำแพงพังลง

เพราะนี่เป็นการแก้แค้นขององค์พระผู้เป็นเจ้า

จงแก้แค้นบาบิโลน

จงทำกับบาบิโลนเหมือนที่มันเคยทำแก่ชาติอื่นๆ

16 จงตัดผู้หว่าน

และผู้เก็บเกี่ยวซึ่งถือเคียวออกจากบาบิโลน

ให้ทุกคนกลับไปหาพี่น้องร่วมชาติของตน

ให้ทุกคนหนีไปยังบ้านเกิดเมืองนอน

เพราะดาบของผู้กดขี่ข่มเหง

17 “อิสราเอลเป็นฝูงแกะที่กระจัดกระจาย

ซึ่งสิงโตได้ไล่หนีกระเจิง

รายแรกที่ขย้ำเขา

คือกษัตริย์อัสซีเรีย

ล่าสุดผู้ที่บดขยี้กระดูกของเขา

คือกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน”

18 ฉะนั้นพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า

“เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและดินแดนของเขา

เหมือนที่เราได้ลงโทษกษัตริย์อัสซีเรีย

19 ส่วนอิสราเอล เราจะนำพวกเขากลับคืนสู่ทุ่งหญ้าของเขาเอง

พวกเขาจะกินหญ้าบนภูเขาคารเมลและบาชาน

พวกเขาจะอิ่มเอม

บนภูเขาเอฟราอิมและในกิเลอาด”

20 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

“ในครั้งนั้น

จะมีการเสาะหาความผิดของอิสราเอล

แต่ไม่พบเลย

และจะมีการเสาะหาบาปทั้งหลายของยูดาห์

แต่ไม่พบเลย

เพราะเราจะอภัยโทษชนหยิบมือที่เหลือซึ่งเราไว้ชีวิต

21 “จงโจมตีดินแดนเมราธาอิม

และผู้คนในเปโขด

ตามล่า ฆ่าทิ้ง และทำลายล้างให้หมด”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“จงทำทุกสิ่งตามที่เราสั่งไว้

22 มีเสียงโห่ร้องออกศึกในดินแดน

เสียงหายนะใหญ่หลวง!

23 ค้อนซึ่งทุบโลกทั้งโลก

ก็แหลกลาญป่นปี้

บาบิโลนถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิง

ในหมู่ประชาชาติ!

24 บาบิโลนเอ๋ย เราวางกับดักเจ้าไว้

และเจ้าก็ติดกับก่อนจะรู้ตัว

เจ้าถูกจับได้

เพราะเจ้าต่อสู้ขัดขืนองค์พระผู้เป็นเจ้า

25 องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเปิดคลังสรรพาวุธของพระองค์

และนำอาวุธแห่งพระพิโรธออกมา

เพราะพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดทรงมีพระราชกิจที่จะกระทำ

ในดินแดนของชาวบาบิโลน

26 จงยกกำลังต่อสู้บาบิโลนจากแดนไกล

จงทำลายยุ้งฉางของมันเสีย

จงกองมันไว้เหมือนกองเมล็ดข้าว

จงทำลายล้างมันอย่างสิ้นเชิง

และอย่าให้มีใครหลงเหลืออยู่

27 จงฆ่าวัวหนุ่มของมันให้หมด

ต้อนพวกมันไปโรงเชือด!

วิบัติแก่พวกเขา! เพราะถึงเวลาของพวกเขาแล้ว

เวลาที่พวกเขาจะถูกลงโทษ

28 จงฟังเสียงผู้ลี้ภัยและผู้อพยพจากบาบิโลน

ที่ป่าวร้องในศิโยน

ว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ทรงแก้แค้นอย่างไร

ทรงแก้แค้นให้พระวิหารของพระองค์อย่างไร

29 “จงเรียกพลธนูมาต่อสู้กับบาบิโลน

บรรดาผู้โก่งคันศร

จงมาตั้งค่ายล้อมบาบิโลนไว้

อย่าให้มีใครหนีรอดไปได้

จงตอบแทนมันให้สาสม

จงทำกับมันเหมือนที่มันเคยทำไว้

เพราะบาบิโลนได้ลบหลู่พระยาห์เวห์

องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล

30 ฉะนั้นชายหนุ่มของบาบิโลนจะล้มลงกลางถนน

และทหารทุกคนจะถูกทำให้เงียบเสียงในวันนั้น”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

31 “ดูเถิด เราสู้กับเจ้า คนหยิ่งจองหองเอ๋ย”

องค์พระผู้เป็นเจ้าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น

“เพราะวันเวลาของเจ้านั้นได้มาถึงแล้ว

เวลาที่เจ้าจะถูกลงโทษ

32 คนหยิ่งจองหองจะสะดุดล้มลง

และจะไม่มีใครช่วยพยุงเขาขึ้นมา

เราจะจุดไฟในเมืองต่างๆ ของบาบิโลน

ไฟนี้จะเผาผลาญทุกคนที่อยู่รอบเมือง”

33 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า

“ชาวอิสราเอลถูกกดขี่ข่มเหง

และชาวยูดาห์ก็เช่นกัน

บรรดาคนที่จับเขาไปเป็นเชลยก็กุมตัวเขาไว้แน่น

ไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาไป

34 แต่พระผู้ไถ่ของพวกเขานั้นเข้มแข็ง

พระนามของพระองค์คือ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์

พระองค์จะทรงแก้คดีของเขาอย่างแข็งขัน

เพื่อจะทรงนำการพักสงบมาสู่ดินแดนของพวกเขา

และนำความวุ่นวายมายังชาวบาบิโลน”

35 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

“ให้ดาบฟาดฟันชาวบาบิโลน

ฟาดฟันผู้คนในบาบิโลน

และให้ดาบฟาดฟันขุนนางและปราชญ์ของบาบิโลน!

36 ให้ดาบฟาดฟันผู้เผยพระวจนะเท็จ!

พวกเขาจะกลายเป็นคนโง่เขลา

ให้ดาบฟาดฟันนักรบ!

พวกเขาจะเต็มไปด้วยความอกสั่นขวัญแขวน

37 ให้ดาบฟาดฟันเหล่าม้าและรถม้าศึก

และฟาดฟันคนต่างชาติทั้งปวงในกองทัพของเขา!

พวกเขาจะกลายเป็นเหมือนผู้หญิง

ให้ดาบฟาดฟันทรัพย์สมบัติของบาบิโลน!

สิ่งเหล่านั้นจะถูกปล้นชิง

38 ให้ความแห้งแล้งมาเหนือห้วงน้ำทั้งหลายของมัน!

พวกมันจะได้เหือดแห้ง

เพราะดินแดนนั้นเต็มไปด้วยรูปเคารพ

และผู้คนก็คลั่งไคล้ไปกับพระต่างๆ

39 “สัตว์ทะเลทรายและสุนัขจิ้งจอกจะอาศัยอยู่ที่นั่น

และนกเค้าแมวจะอยู่ที่นั่น

จะไม่มีผู้คนอาศัยอยู่อีก

ตลอดทุกชั่วอายุ

40 ดังที่พระเจ้าได้ล้มล้างเมืองโสโดมและโกโมราห์

พร้อมทั้งเมืองใกล้เคียง”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“ดังนั้นจะไม่มีใครอยู่ที่นั่น

จะไม่มีผู้ใดตั้งถิ่นฐานในเมืองนั้น

41 “ดูเถิด กองทัพจะมาจากทางเหนือ

ชนชาติยิ่งใหญ่และกษัตริย์หลายองค์

กำลังถูกเร่งเร้าจากทุกมุมโลก

42 พวกเขามีทั้งธนูและหอก

โหดเหี้ยมและไร้ความเมตตา

เสียงควบม้าของพวกเขา

เหมือนเสียงทะเลคำราม

พวกเขายกกระบวนทัพมาเพื่อโจมตีเจ้า

ธิดาแห่งบาบิโลนเอ๋ย

43 กษัตริย์บาบิโลนได้ยินรายงานข่าว

พระหัตถ์ก็หมดแรง

ความทุกข์ร้าวรานจู่โจมจับพระทัย

เจ็บปวดรวดร้าวดั่งผู้หญิงที่กำลังคลอดลูก

44 เราจะขับไล่บาบิโลนออกจากดินแดน

ในชั่วพริบตา

ดุจสิงโตออกมาจากพงไพรแห่งจอร์แดนสู่ทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์

ใครคือผู้ที่เราเลือกสรรแต่งตั้งเพื่อการนี้?

ผู้ใดเสมอเหมือนเราและใครจะท้าทายเราได้?

คนเลี้ยงแกะหน้าไหนจะยืนต้านทานเราได้?”

45 ฉะนั้นจงฟังแผนการที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะจัดการกับบาบิโลน

สิ่งที่พระองค์ทรงดำริไว้สำหรับดินแดนของชาวบาบิโลน

ลูกอ่อนในฝูงจะถูกลากไป

พระองค์จะทรงทำลายทุ่งหญ้าของพวกเขาจนหมดสิ้น เพราะตัวพวกเขาเอง

46 ทั่วโลกจะสั่นสะท้าน เมื่อได้ยินเสียงบาบิโลนล่มสลาย

เสียงร้องของชาวบาบิโลนจะดังก้องในหมู่ประชาชาติ

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/50-2e5dfbb7a4f0388ac6372f060aaf43df.mp3?version_id=179—

เยเรมีย์ 51

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“ดูเถิด เราจะดลใจผู้ทำลายล้าง

มาสู้กับบาบิโลนและชาวเลบคามาย

2 เราจะส่งคนต่างชาติมายังบาบิโลน

เพื่อฝัดร่อนและล้างผลาญดินแดนนั้น

พวกเขาจะมาสู้รบกับบาบิโลนทุกด้าน

ในวันแห่งหายนะของบาบิโลน

3 อย่าให้พลธนูโก่งธนูได้

และอย่าให้เขาหยิบเสื้อเกราะมาสวมทัน

อย่าไว้ชีวิตชายหนุ่มของดินแดนนั้น

จงทำลายทั้งกองทัพให้สิ้นไป

4 พวกเขาจะล้มตายในบาบิโลน

บาดเจ็บสาหัสตามถนนหนทาง

5 เพราะพระเจ้า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์

ไม่ได้ทรงทอดทิ้งอิสราเอลและยูดาห์

แม้ดินแดนของเขาจะเต็มไปด้วยความผิด

ต่อหน้าองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล

6 “จงหนีจากบาบิโลน!

จงหนีเอาชีวิตรอดเถิด!

อย่าพลอยถูกทำลายเพราะบาปของมัน

ถึงเวลาการแก้แค้นขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว

พระองค์จะทรงกระทำแก่บาบิโลนให้สาสม

7 บาบิโลนเป็นถ้วยทองคำในพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า

บาบิโลนทำให้ทั้งโลกเมามาย

ชนชาติทั้งหลายได้ดื่มเหล้าองุ่นของบาบิโลน

บัดนี้พวกเขาจึงคลุ้มคลั่งไป

8 บาบิโลนจะล่มจมอย่างฉับพลัน แล้วก็แหลกลาญ

จงร่ำไห้ให้กับมัน!

เอายามาบำบัดความเจ็บปวดให้บาบิโลนสิ

เผื่อว่ามันจะหาย

9 “ ‘เราน่าจะรักษาบาบิโลนให้หาย

แต่มันก็ไม่ยอมหาย

ให้เราทิ้งบาบิโลน และต่างคนต่างกลับไปยังดินแดนของตน

เพราะโทษทัณฑ์ของบาบิโลนสูงเสียดฟ้า

สูงเทียมเมฆ’

10 “ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ความเป็นธรรมแก่เราแล้ว

มาเถิด ให้เราบอกกล่าวในศิโยน

ถึงสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ทรงกระทำ’

11 “จงลับลูกศรให้แหลมคม

จงหยิบโล่ขึ้นเตรียมพร้อม

องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเร่งเร้าเหล่ากษัตริย์แห่งมีเดีย

เพราะทรงตั้งใจจะทำลายบาบิโลน

องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงแก้แค้น

แก้แค้นให้พระวิหารของพระองค์

12 จงชูธงขึ้นประชิดกำแพงของบาบิโลน!

จงเสริมกำลังผู้รักษาการณ์

จงวางยามประจำ

จงเตรียมกองซุ่มโจมตีไว้!

องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำให้สำเร็จตามที่ทรงมุ่งหมายไว้

ตามประกาศิตเกี่ยวกับชาวบาบิโลน

13 เจ้าผู้อาศัยริมห้วงน้ำทั้งหลาย

และมีทรัพย์สมบัติมั่งคั่ง

ถึงจุดจบของเจ้าแล้ว

ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะถูกตัดขาด

14 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ได้ปฏิญาณไว้โดยอ้างพระองค์เองว่า

แน่นอน เราจะให้ผู้คนเนืองแน่นดินแดนของเจ้าเหมือนตั๊กแตนฝูงมหึมา

และพวกเขาจะโห่ร้องมีชัยเหนือเจ้า

15 “พระองค์ทรงสร้างโลกโดยฤทธานุภาพ

ทรงสถาปนาพิภพไว้ด้วยพระปรีชาญาณ

และทรงคลี่ฟ้าสวรรค์ออกด้วยความเข้าใจ

16 เมื่อพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียง ห้วงน้ำในฟ้าสวรรค์ก็ร้องคำราม

พระองค์ทรงให้เมฆลอยขึ้นจากสุดปลายแผ่นดินโลก

ทรงส่งฟ้าแลบให้มากับฝน

และทรงนำกระแสลมออกมาจากคลัง

17 “ทุกคนก็สิ้นคิดและขาดความรู้

ช่างทองทุกคนอับอายขายหน้าเพราะรูปเคารพของตน

เทวรูปของเขาเป็นสิ่งจอมปลอม

พวกมันไม่มีลมหายใจ

18 มันเป็นของไร้ค่า เป็นสิ่งที่น่าเยาะเย้ย

เมื่อถึงเวลาพิพากษา มันก็พินาศ

19 แต่พระองค์ผู้มีกรรมสิทธิ์เหนือยาโคบไม่เหมือนเทวรูปเหล่านี้

เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่ง

รวมทั้งเผ่าที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์

พระนามของพระองค์คือพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์

20 “เจ้าเป็นตะบองรบ

เป็นอาวุธสำหรับทำสงครามของเรา

ซึ่งเราใช้เจ้าทุบบรรดาประชาชาติ

เราใช้เจ้าทำลายอาณาจักรต่างๆ

21 เราใช้เจ้าทุบม้าและพลม้า

เราใช้เจ้าทุบรถม้าศึกและพลขับ

22 เราใช้เจ้าทุบผู้ชายและผู้หญิง

เราใช้เจ้าทุบคนแก่และเด็ก

เราใช้เจ้าทุบชายหนุ่มและหญิงสาว

23 เราใช้เจ้าทุบคนเลี้ยงแกะและฝูงแกะ

เราใช้เจ้าทุบชาวนาและวัว

เราใช้เจ้าทุบผู้ว่าการและขุนนางทั้งหลาย

24 “เราจะตอบสนองบาบิโลนและคนทั้งปวงที่อาศัยอยู่ในบาบิโลนต่อหน้าต่อตาเจ้าเพราะความผิดทั้งหมดที่เขาทำในศิโยน”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

25 “เราเป็นศัตรูกับเจ้า เจ้าภูเขาผู้ทำลายล้างเอ๋ย

เจ้าผู้ผลาญทำลายทั้งโลก”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“เราจะเหยียดมือออกสู้กับเจ้า

จะกลิ้งเจ้าลงจากหน้าผา

และเผาเจ้าให้วอดวาย

26 จะไม่มีการสกัดหินจากเจ้าไปเป็นศิลาหัวมุม

หรือทำเป็นฐานราก

เพราะเจ้าจะถูกทิ้งร้างตลอดไป”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

27 “จงชูธงขึ้นในดินแดนนั้น!

จงเป่าแตรในหมู่ประชาชาติ

จงเตรียมชนชาติต่างๆ ไว้สู้รบกับมัน

จงเรียกอาณาจักรเหล่านี้มาสู้กับมัน

คือเรียกอารารัต มินนี และอัชเคนัส

จงตั้งแม่ทัพขึ้นสู้รบกับดินแดนนั้น

จงส่งฝูงม้ามาให้เนืองแน่นเหมือนฝูงตั๊กแตน

28 จงเตรียมประชาชาติทั้งหลายมาสู้รบกับบาบิโลน

ได้แก่บรรดากษัตริย์มีเดีย

ผู้ว่าการและขุนนางทั้งปวง

ตลอดจนประเทศทั้งปวงใต้อาณัติ

29 แผ่นดินก็สั่นสะท้านและทุรนทุราย

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยืนยันที่จะทำกับบาบิโลนตามที่ทรงตั้งพระทัยไว้

คือทำให้ดินแดนบาบิโลนถูกทิ้งร้าง

ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่

30 นักรบของบาบิโลนหยุดต่อสู้

หมกตัวอยู่ในที่มั่น

พลังของพวกเขาหมดสิ้นไป

เขากลายเป็นเหมือนผู้หญิง

ที่อยู่อาศัยในบาบิโลนถูกวางเพลิง

ลูกกรงประตูเมืองต่างๆ หักพัง

31 นักวิ่งไล่ตามกันไป

ผู้สื่อสารไล่ตามกันไป

เพื่อไปรายงานกษัตริย์บาบิโลนว่า

ทั้งกรุงถูกยึดไปแล้ว

32 ท่าข้ามแม่น้ำถูกยึด

เครื่องกีดขวางถูกเผา

และเหล่าทหารก็ตกใจกลัว”

33 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า

“ธิดาแห่งบาบิโลนเหมือนลานนวดข้าว

เมื่อถึงเวลาก็ถูกเหยียบย่ำ

ไม่ช้าก็จะถึงเวลาเก็บเกี่ยวบาบิโลน”

34 “กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนได้ขย้ำเรา

พระองค์ได้เหวี่ยงเราลงสู่ความสับสน

พระองค์ได้ทรงทำให้เรากลายเป็นไหเปล่า

พระองค์ได้ทรงกลืนเราเหมือนงูพิษ

กินสิ่งโอชะของเราจนเต็มท้อง

แล้วสำรอกเราออกมา

35 ขอให้ความอำมหิตที่เรากับลูกหลานได้รับนั้นตกอยู่กับบาบิโลนเถิด”

ชาวศิโยนกล่าวดังนั้น

เยรูซาเล็มกล่าวว่า

“ขอให้คนที่อาศัยอยู่ในบาบิโลนชดใช้ที่ทำให้เราสูญเสียเลือดเนื้อ”

36 ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“ดูเถิด เราจะให้ความเป็นธรรมแก่เจ้า

และแก้แค้นให้เจ้า

เราจะทำให้ทะเล

และธารน้ำของบาบิโลนเหือดแห้ง

37 บาบิโลนจะเป็นซากปรักหักพัง

เป็นที่อยู่ของหมาใน

เป็นเป้าของความสยดสยองและการดูหมิ่น

เป็นที่ซึ่งไม่มีผู้ใดอยู่อาศัย

38 มวลประชากรของบาบิโลนร้องคำรามเหมือนสิงโตหนุ่ม

ครวญครางเหมือนลูกสิงห์

39 แต่ขณะที่พวกเขาถูกเร่งเร้า

เราจะจัดงานเลี้ยงให้พวกเขา

และทำให้พวกเขามึนเมา

เพื่อพวกเขาจะหัวเราะลั่น

แล้วก็หลับใหลไม่ตื่นตลอดกาล”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

40 “เราจะปราบเขาลง

เหมือนแพะแกะที่ถูกต้อนไปฆ่า

41 “เชชัคจะถูกพิชิต

เมืองซึ่งเป็นที่โอ้อวดของทั่วโลกจะถูกยึด!

บาบิโลนจะเป็นที่สยดสยองยิ่งนัก

ในหมู่ประชาชาติ!

42 ทะเลจะซัดท่วมบาบิโลน

คลื่นคำรามของมันจะกลบบาบิโลนจนมิด

43 เมืองต่างๆ ของบาบิโลนจะถูกทิ้งร้าง

เป็นถิ่นกันดารแห้งแล้ง

เป็นแผ่นดินซึ่งไม่มีใครอยู่อาศัย

ไม่มีใครสัญจรผ่าน

44 เราจะลงโทษพระเบลในบาบิโลน

ทำให้เขาคายสิ่งที่กลืนลงไปออกมา

ชนชาติทั้งหลายจะไม่หลั่งไหลมาหาพระเบลอีกต่อไป

และกำแพงของบาบิโลนจะพังทลาย

45 “ประชากรของเราเอ๋ย จงออกมาจากบาบิโลน

จงหนีเอาชีวิตรอดเถิด!

จงหนีให้พ้นจากพระพิโรธอันรุนแรงขององค์พระผู้เป็นเจ้า

46 อย่าเสียขวัญหรือหวาดหวั่น

เมื่อได้ยินข่าวลือในดินแดนนั้น

ปีนี้ลือกันว่าอย่างนี้ ปีหน้าลือกันว่าอย่างนั้น

ข่าวลือเรื่องการนองเลือดในแผ่นดิน

และเรื่องนักปกครองต่อสู้กัน

47 เพราะเวลานั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน

เวลาที่เราจะลงโทษรูปเคารพทั้งหลายของบาบิโลน

ดินแดนบาบิโลนทั้งหมดจะอับอายขายหน้า

และบรรดาผู้ถูกฆ่าจะนอนตายอยู่ในนั้น

48 แล้วฟ้าสวรรค์กับแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งในนั้น

จะโห่ร้องยินดีเหนือบาบิโลน

เพราะบรรดาผู้ทำลายจากทางเหนือ

จะมาโจมตีบาบิโลน”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

49 “บาบิโลนจะต้องล่มจมเพราะชนอิสราเอลที่ถูกฆ่า

เช่นเดียวกับคนทั่วโลกที่ถูกฆ่า

ที่ต้องล้มตายเพราะบาบิโลน

50 พวกเจ้าผู้หนีรอดจากคมดาบ

จงไปเสีย อย่ามัวร่ำไรอยู่!

ในแดนไกลโพ้น จงระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า

และคิดถึงเยรูซาเล็ม”

51 “เราอับอายขายหน้า

เพราะเราถูกสบประมาท

และความอัปยศกลบหน้าเรา

เพราะคนต่างชาติเข้ามาในที่บริสุทธิ์

ของพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

52 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แต่วันเวลาจะมาถึง

เมื่อเราจะลงโทษรูปเคารพต่างๆ ของบาบิโลน

และทั่วดินแดนบาบิโลน

จะครวญครางเพราะความย่อยยับ

53 ถึงแม้ว่าบาบิโลนสูงเทียมฟ้า

และเสริมป้อมปราการให้แข็งแกร่ง

เราก็จะส่งผู้ทำลายมารบกับมัน”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

54 “เสียงร้องดังมาจากบาบิโลน

เสียงหายนะใหญ่หลวง

ดังมาจากดินแดนของชาวบาบิโลน

55 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำลายล้างบาบิโลน

จะทรงสยบเสียงอึกทึกน่ารำคาญของมัน

คลื่นศัตรูจะรุกเข้ามาเหมือนห้วงน้ำใหญ่

เสียงสนั่นของเขาจะดังก้อง

56 ผู้ทำลายจะมาสู้กับบาบิโลน

นักรบของบาบิโลนจะถูกจับเป็นเชลย

ธนูของเขาจะถูกหักทิ้ง

เพราะพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งการตอบสนอง

พระองค์จะทรงตอบสนองอย่างสาสม

57 เราจะทำให้เหล่าขุนนางและปราชญ์ของบาบิโลนมึนเมา

ตลอดจนผู้ว่าการ นายทหารและนักรบทั้งหลาย

พวกเขาจะหลับใหลและไม่ตื่นอีกเลยตลอดกาล”

องค์กษัตริย์ผู้ทรงพระนามว่าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น

58 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า

“กำแพงหนาของบาบิโลนจะถูกทลายราบ

และประตูสูงของมันจะถูกเผา

ประชาชาติทั้งหลายจะเหนื่อยเปล่า

สิ่งที่ได้ลงแรงไว้จะกลายเป็นเพียงเชื้อไฟ”

59 ทั้งหมดนี้เป็นเนื้อความซึ่งเยเรมีย์สั่งไว้กับผู้ดูแลแขวงชื่อเสไรอาห์บุตรเนริยาห์บุตรมาอาเสอาห์ เมื่อเขาไปยังบาบิโลนพร้อมกับกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ในปีที่สี่แห่งรัชกาลของพระองค์

60 เยเรมีย์บันทึกเกี่ยวกับภัยพิบัติทั้งปวงซึ่งจะเกิดขึ้นกับบาบิโลนไว้ในหนังสือม้วนทั้งหมดซึ่งบันทึกมาข้างต้นเกี่ยวกับบาบิโลน

61 เยเรมีย์กล่าวกับเสไรอาห์ว่า “เมื่อท่านไปถึงบาบิโลน จงอ่านออกเสียงข้อความทั้งหมดนี้

62 แล้วจงกล่าวว่า ‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ได้ตรัสไว้ว่าจะทรงทำลายสถานที่นี้จนไม่มีทั้งคนและสัตว์อาศัยอยู่ในดินแดนนี้เลย มันจะถูกทิ้งร้างตลอดกาล’

63 เมื่อท่านอ่านจบแล้ว จงเอาหนังสือม้วนนี้ผูกเข้ากับก้อนหินแล้วเหวี่ยงลงในแม่น้ำยูเฟรติส

64 จากนั้นจงกล่าวว่า ‘เช่นนี้แหละ บาบิโลนจะจมลง ไม่ได้ผุดไม่ได้โผล่อีกเลย เพราะภัยพิบัติซึ่งเราจะนำมายังบาบิโลนและพลเมืองของบาบิโลนจะล้มตาย’ ”

ถ้อยคำของเยเรมีย์จบลงเพียงเท่านี้

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/51-826bf949e415d7398aebb5ab2009def1.mp3?version_id=179—

เยเรมีย์ 52

กรุงเยรูซาเล็มแตก

1 เมื่อเศเดคียาห์ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์มีพระชนมายุ 21 พรรษาและทรงครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มสิบเอ็ดปี ราชมารดาคือฮามุทาลธิดาของเยเรมีย์จากลิบนาห์

2 เศเดคียาห์ทรงทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนที่เยโฮยาคิมได้ทรงทำ

3 เนื่องด้วยพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้จึงเกิดขึ้นกับกรุงเยรูซาเล็มและยูดาห์ และในที่สุดพระองค์ทรงเหวี่ยงพวกเขาพ้นจากพระพักตร์ของพระองค์

ครั้งนั้นเศเดคียาห์ทรงกบฏต่อกษัตริย์บาบิโลน

4 ฉะนั้นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนทรงกรีธาทัพหลวงมารบกับกรุงเยรูซาเล็มในวันที่สิบเดือนที่สิบของปีที่เก้าแห่งรัชกาลกษัตริย์เศเดคียาห์ พวกเขาตั้งค่ายอยู่นอกเมือง แล้วสร้างเชิงเทินล้อมเมืองไว้

5 กรุงเยรูซาเล็มถูกล้อมอยู่จนถึงปีที่สิบเอ็ดแห่งรัชกาลเศเดคียาห์

6 เมื่อถึงวันที่เก้าของเดือนที่สี่ กรุงนี้ก็กันดารอาหารอย่างหนักจนไม่มีอาหารรับประทานเลย

7 แล้วกำแพงเมืองก็ถูกพังลง ทั้งกองทัพก็หนีไปในเวลากลางคืน ผ่านประตูระหว่างกำแพงสองชั้นใกล้ราชอุทยาน แม้ว่าชาวบาบิโลนล้อมเมืองอยู่ พวกเขาหนีไปยังอาราบาห์

8 แต่กองทัพบาบิโลนไล่ล่ากษัตริย์เศเดคียาห์และมาทันพระองค์ในที่ราบเยรีโค ส่วนทหารทั้งปวงของเศเดคียาห์แตกหนีกันไปคนละทิศคนละทาง

9 และพระองค์ทรงถูกจับกุม

พระองค์ทรงถูกคุมตัวมาเข้าเฝ้ากษัตริย์บาบิโลนที่ริบลาห์ในเขตฮามัทและรับการตัดสินโทษ

10 ที่ริบลาห์นี้ กษัตริย์บาบิโลนทรงประหารบรรดาโอรสของเศเดคียาห์ต่อหน้าต่อตาพระองค์ และประหารขุนนางทั้งปวงของยูดาห์

11 แล้วควักพระเนตรของเศเดคียาห์ออกทั้งสองข้าง จองจำพระองค์ด้วยโซ่ตรวนทองสัมฤทธิ์ และคุมตัวไปขังไว้ในคุกในบาบิโลน จวบจนวันที่เศเดคียาห์สิ้นพระชนม์

12 ในวันที่สิบเดือนที่ห้าของปีที่สิบเก้าแห่งรัชกาลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ผู้รับใช้กษัตริย์บาบิโลนได้มายังกรุงเยรูซาเล็ม

13 เขาจุดไฟเผาพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระราชวัง และบ้านเรือนทุกหลังในเยรูซาเล็ม รวมทั้งอาคารทุกแห่ง

14 ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์สั่งการให้กองทัพบาบิโลนทั้งหมดทลายกำแพงรอบกรุงเยรูซาเล็ม

15 เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์กวาดต้อนประชาชนที่ยากจนข้นแค้นที่สุดบางคน ผู้คนที่ยังอยู่ในกรุงนั้น และช่างฝีมือต่างๆ ที่เหลือ รวมทั้งผู้ที่ออกไปสวามิภักดิ์ต่อกษัตริย์บาบิโลน

16 แต่เนบูซาระดานทิ้งประชากรคนอื่นๆ ที่ยากจนข้นแค้นของดินแดนนั้นไว้ให้ทำสวนองุ่นและทำไร่ไถนา

17 ชาวบาบิโลนทุบเสาหานทองสัมฤทธิ์ทั้งสอง แท่นเคลื่อนที่ และขันสาครทองสัมฤทธิ์ที่พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าและนำทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดไปยังบาบิโลน

18 พวกเขายังได้นำหม้อ ทัพพี กรรไกรตัดไส้ตะเกียง ชามประพรม จานชาม และเครื่องใช้ทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดที่ใช้ในพระวิหารไปด้วย

19 ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ยังได้ริบสิ่งของทั้งหมดที่ทำด้วยทองคำหรือเงินบริสุทธิ์ไป ไม่ว่าจะเป็นอ่าง กระถางไฟ ชามประพรม หม้อ คันประทีป และจานชามซึ่งใช้ในการถวายเครื่องดื่มบูชา

20 ทองสัมฤทธิ์ที่ได้จากเสาหานทั้งสองต้น ขันสาคร วัวทองสัมฤทธิ์สิบสองตัวรองรับอ่าง แท่นเคลื่อนที่ซึ่งกษัตริย์โซโลมอนทรงสร้างขึ้นเพื่อพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นมีปริมาณมากเกินกว่าจะชั่งน้ำหนักได้

21 เสาแต่ละต้นสูง 18 ศอก และมีเส้นรอบวง 12 ศอก หนา 4 นิ้วมือภายในกลวง

22 หัวเสาซึ่งอยู่บนยอดเสามีความสูง 5 ศอกประดับด้วยตาข่ายและผลทับทิมทองสัมฤทธิ์โดยรอบ เหมือนกันทั้งสองเสา

23 รอบๆ มีผลทับทิม 96 ผล จำนวนผลทับทิมที่อยู่เหนือตาข่ายซึ่งล้อมรอบนั้นมี 100 ผล

24 ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้จับตัวเสไรอาห์หัวหน้าปุโรหิต เศฟันยาห์รองหัวหน้าปุโรหิต และนายประตูสามคนไว้

25 ในหมู่คนที่ยังคงอยู่ในกรุงนั้น เขาได้นำตัวแม่ทัพและราชมนตรีเจ็ดคน ราชเลขาผู้เป็นหัวหน้ากองเกณฑ์พลและคนของเขาอีกหกสิบคนซึ่งพบอยู่ในกรุงนั้นมาเป็นเชลยด้วย

26 ผู้บัญชาการเนบูซาระดานได้นำคนเหล่านี้ทั้งหมดไปเข้าเฝ้ากษัตริย์บาบิโลนที่ริบลาห์

27 กษัตริย์ก็ให้ประหารคนเหล่านี้ที่ริบลาห์ในเขตฮามัท ดังนั้นยูดาห์จึงตกเป็นเชลย ต้องถูกพรากจากดินแดนของตน

28 จำนวนประชาชนซึ่งเนบูคัดเนสซาร์กวาดต้อนไปเป็นเชลยมีดังนี้

ในปีที่เจ็ด ชาวยิวถูกกวาดต้อนไป 3,023 คน

29 ในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลเนบูคัดเนสซาร์ คนจากเยรูซาเล็มถูกกวาดต้อนไป 832 คน

30 ในปีที่ยี่สิบสามแห่งรัชกาลเดียวกัน

เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์กวาดต้อนชาวยิวไป 745 คน

รวมชาวยิวที่ถูกกวาดต้อนไปทั้งสิ้น 4,600 คน

เยโฮยาคีนได้รับการปลดปล่อย

31 ในปีที่สามสิบเจ็ดของการที่กษัตริย์เยโฮยาคีนแห่งยูดาห์ตกเป็นเชลย ซึ่งเป็นปีที่เอวิลเมโรดักขึ้นเป็นกษัตริย์บาบิโลน พระองค์ทรงปล่อยกษัตริย์เยโฮยาคีนแห่งยูดาห์ออกจากคุกในวันที่ยี่สิบห้าเดือนที่สิบสอง

32 พระองค์ตรัสกับเยโฮยาคีนอย่างอ่อนโยนและให้ประทับนั่งในตำแหน่งที่มีเกียรติกว่ากษัตริย์อื่นๆ ที่ถูกจับมาเป็นเชลยในบาบิโลน

33 ฉะนั้นเยโฮยาคีนจึงได้ทรงถอดชุดนักโทษออกและได้ทรงร่วมโต๊ะเสวยกับกษัตริย์เป็นประจำตลอดพระชนม์ชีพ

34 กษัตริย์บาบิโลนยังได้ประทานเบี้ยเลี้ยงประจำวันแก่เยโฮยาคีนตลอดพระชนม์ชีพจวบจนวันที่เยโฮยาคีนสิ้นพระชนม์

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/52-1307bede3ec491ae411b32e265f4bad0.mp3?version_id=179—

อิสยาห์ 1

1 นิมิตเกี่ยวกับยูดาห์และเยรูซาเล็มซึ่งอิสยาห์บุตรอาโมศเห็นในช่วงรัชกาลของอุสซียาห์ โยธาม อาหัส และเฮเซคียาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ เป็นดังนี้

ชนชาติจอมกบฏ

2 ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงฟัง! แผ่นดินโลกเอ๋ย! จงฟังเถิด

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เราเลี้ยงลูกๆ มาจนเติบใหญ่

แต่พวกเขากลับกบฏต่อเรา

3 วัวยังรู้จักนาย

ลารู้จักเจ้าของรางหญ้า

แต่อิสราเอลไม่รู้จัก

ประชากรของเราไม่เข้าใจ”

4 โอ ชนชาติบาปหนา

ประชากรผู้แบกความผิดไว้อย่างมากมายหนักหนา

เผ่าพันธุ์ผู้กระทำชั่ว

ลูกหลานของความเสื่อมทราม!

พวกเขาได้ละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า

หมิ่นประมาทองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล

และหันหลังให้พระองค์

5 ทำไมต้องให้โบยอยู่ร่ำไป?

ทำไมจึงกบฏซ้ำแล้วซ้ำเล่า?

ศีรษะของเจ้าก็ร้าวระบม

หัวใจก็ร้าวราน

6 ตั้งแต่ศีรษะจดเท้า

ไม่มีส่วนใดปกติ

ล้วนมีแต่แผลถลอก แผลขึ้นแนว

และรอยแผลอักเสบ

ไม่ได้ล้างแผล ทายา

หรือพันแผลไว้เลย

7 ดินแดนของเจ้าก็ร้างเปล่า

เมืองต่างๆ ถูกเผาผลาญ

ท้องทุ่งเหี้ยนเตียนด้วยน้ำมือของคนต่างชาติ

เริศร้างต่อหน้าต่อตาเจ้า

เหมือนเมื่อถูกคนแปลกหน้าล้มล้าง

8 ธิดาแห่งศิโยนถูกทิ้งร้าง

เหมือนเพิงในสวนองุ่น

เหมือนกระท่อมกลางไร่แตง

เหมือนเมืองที่ถูกล้อม

9 หากพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์

ไม่เหลือคนหยิบมือหนึ่งให้เรา

เราก็คงกลายเป็นเหมือนเมืองโสโดม

เราก็คงเป็นเหมือนเมืองโกโมราห์

10 บรรดาผู้ครอบครองเมืองโสโดม

จงฟังพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ชาวเมืองโกโมราห์ทั้งหลาย!

จงฟังบทบัญญัติของพระเจ้าของเรา

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เครื่องบูชาทั้งหลายของเจ้า

มีความหมายอะไรสำหรับเรา?

เราเอียนเครื่องเผาบูชา

เราเอือมแกะผู้และไขมันของสัตว์อ้วนพี

เราไม่ได้พอใจ

กับเลือดแพะแกะหรือเลือดวัว

12 เมื่อเจ้าเข้ามาอยู่ต่อหน้าเรา

ใครขอให้เจ้าทำเช่นนี้

ซึ่งเป็นการย่ำยีนิเวศของเรา?

13 หยุดนำเครื่องบูชาที่ไร้ความหมายมาให้เราได้แล้ว!

เราสะอิดสะเอียนเครื่องหอมของเจ้า

เราทนการประชุมอันเลวทรามของเจ้าไม่ได้อีกแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นการประชุมในวันขึ้นหนึ่งค่ำ วันสะบาโตและการชุมนุมอันบริสุทธิ์ใดๆ

14 ใจของเราเกลียดเทศกาลขึ้นหนึ่งค่ำ และการฉลองเทศกาลต่างๆ ตามกำหนดของเจ้า

มันกลายเป็นภาระกับเรา

เราเบื่อที่จะแบก

15 เมื่อเจ้าชูมืออธิษฐาน

เราจะเบือนหน้าหนีเจ้า

แม้เจ้าอธิษฐานมากมาย

เราจะไม่ฟัง

มือของเจ้าโชกชุ่มด้วยเลือด

16 จงชำระตัวให้สะอาดเถิด

เอาการกระทำชั่วๆ ของเจ้า

ออกไปให้พ้นหน้าพ้นตาเรา!

เลิกทำผิดเถิด

17 จงเรียนรู้ที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง!

จงแสวงหาความยุติธรรม

จงให้กำลังใจผู้ที่ถูกกดขี่ข่มเหง

จงปกป้องลูกกำพร้าพ่อ

และสู้คดีให้หญิงม่าย”

18 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“มาเถิด เรามาตกลงกัน

แม้บาปของเจ้าจะเป็นสีแดงก่ำ

ก็จะขาวสะอาดเหมือนหิมะ

แม้บาปเหล่านั้นเป็นสีแดงเข้ม

ก็จะขาวเหมือนสำลี

19 หากเจ้าเต็มใจและเชื่อฟัง

เจ้าจะได้กินผลดีที่สุดจากผืนแผ่นดิน

20 แต่หากเจ้ายังคงดื้อดึงและกบฏ

เจ้าจะเป็นเหยื่อคมดาบ”

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลั่นวาจาไว้ดังนั้น

21 ดูเถิด นครที่ซื่อสัตย์

กลับกลายเป็นหญิงแพศยา!

ครั้งหนึ่งเธอเคยเปี่ยมด้วยความยุติธรรม

ความชอบธรรมเคยมีอยู่ในเธอ

แต่บัดนี้มีแต่ฆาตกร!

22 เนื้อเงินของเจ้ากลายเป็นขี้แร่

เหล้าองุ่นอันยอดเยี่ยมบัดนี้เจือน้ำ

23 ผู้นำของเจ้าเป็นกบฏ

เป็นเพื่อนกับขโมย

ทุกคนรักสินบน

ตามล่าของกำนัล

พวกเขาไม่ปกป้องลูกกำพร้าพ่อ

และไม่พิจารณาคดีของหญิงม่าย

24 ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์

องค์เกรียงไกรแห่งอิสราเอลประกาศว่า

“เราจะระบายโทสะของเราเหนือศัตรู

และแก้แค้นปฏิปักษ์ของเรา

25 เราจะจัดการกับเจ้า

เราเองจะถลุงไล่ขี้แร่ของเจ้าออกไปให้หมดสิ้น

ขจัดมลทินทั้งปวงออกไป

26 เราจะคืนผู้พิพากษาแก่เจ้าเหมือนแต่ก่อน

คืนที่ปรึกษาให้เหมือนเมื่อครั้งแรกเริ่ม

หลังจากนั้นเจ้าจะได้ชื่อว่า

‘นครแห่งความชอบธรรม’

‘นครที่ซื่อสัตย์’ ”

27 ศิโยนจะได้รับการไถ่ด้วยความยุติธรรม

ผู้สำนึกผิดของศิโยนจะได้รับการไถ่ด้วยความชอบธรรม

28 แต่พวกกบฏและคนบาปจะแหลกลาญทั้งคู่

และผู้ที่ละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะพินาศ

29 “เจ้าจะอับอายขายหน้า

เพราะต้นไม้ใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าชื่นชอบ

เจ้าจะอัปยศอดสูเพราะสวนต่างๆ ที่เจ้าเลือก

30 เจ้าจะเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ใบเหี่ยวเฉา

เหมือนสวนที่ขาดน้ำ

31 ชายฉกรรจ์จะกลับกลายเป็นเชื้อไฟ

และกิจการของเขาคือประกายไฟ

ทั้งคู่จะลุกไหม้ไปด้วยกัน

และไม่มีใครดับไฟนั้นได้”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/ISA/1-618197740e8805ed150a3674ff94f53f.mp3?version_id=179—

อิสยาห์ 2

ภูเขาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

1 นี่คือสิ่งที่อิสยาห์บุตรอาโมศเห็นเกี่ยวกับยูดาห์และเยรูซาเล็ม

2 ในบั้นปลาย

ภูเขาที่พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าตั้งอยู่

จะได้รับการสถาปนาให้เป็นเอกในหมู่ภูเขาทั้งหลาย

จะได้รับการเชิดชูเหนือบรรดาเนินเขา

และมวลประชาชาติจะหลั่งไหลไปที่นั่น

3 ชนชาติต่างๆ จะมาและกล่าวว่า

“มาเถิด ให้เราขึ้นไปบนภูเขาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ไปยังพระนิเวศของพระเจ้าของยาโคบ

พระองค์จะทรงสอนพระมรรคาของพระองค์แก่เรา

เพื่อเราจะดำเนินในวิถีทางของพระองค์”

บทบัญญัติจะออกมาจากศิโยน

พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะออกมาจากเยรูซาเล็ม

4 พระองค์จะทรงตัดสินความระหว่างประชาชาติทั้งหลาย

และยุติกรณีพิพาทให้ชนชาติทั้งหลาย

พวกเขาจะตีดาบให้เป็นผาลไถนา

และตีหอกให้เป็นขอลิด

ประชาชาติจะเลิกรบราฆ่าฟันกัน

ทั้งจะไม่มีการฝึกรบอีกต่อไป

5 มาเถิดวงศ์วานของยาโคบเอ๋ย

ให้เราเดินในแสงสว่างขององค์พระผู้เป็นเจ้ากันเถิด

วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า

6 พระองค์ได้ทรงทอดทิ้งพงศ์พันธุ์ยาโคบ

ซึ่งเป็นประชากรของพระองค์

พวกเขาเล่นไสยศาสตร์จากตะวันออก

มีหมอดู คนทรงเหมือนชาวฟีลิสเตีย

และสนิทสนมกับผู้ที่ไม่นับถือพระเจ้า

7 ดินแดนของเขามีเงินและทองเต็มไปหมด

มีทรัพย์สมบัตินับไม่ถ้วน

ดินแดนของเขามีม้าเต็มไปหมด

มีรถม้าศึกนับไม่ถ้วน

8 ดินแดนของเขามีรูปเคารพเต็มไปหมด

เขาหมอบกราบสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้น

สิ่งที่ทำขึ้นด้วยน้ำมือของตน

9 ดังนั้นมนุษย์จะถูกทำให้ตกต่ำลง

มนุษยชาติถูกทำให้ต่ำต้อย

อย่าอภัยให้เขาเลย

10 จงคลานเข้าไปในซอกหิน

และมุดลงไปในดิน

ให้พ้นจากความน่าสะพรึงกลัวขององค์พระผู้เป็นเจ้า

และจากความรุ่งโรจน์แห่งพระบารมีของพระองค์

11 นัยน์ตาหยิ่งผยองจะถูกปราบลง

ความโอ้อวดทะนงตัวของมนุษย์จะถูกกดลง

ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงผู้เดียวจะเป็นที่เทิดทูน

12 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ทรงเตรียมวันนั้นไว้

สำหรับบรรดาคนเย่อหยิ่งและทะนงตน

สำหรับทุกสิ่งอันเป็นที่ยกย่องเทิดทูน

(และสิ่งเหล่านั้นจะต้องตกต่ำลง)

13 สำหรับมวลสนซีดาร์แห่งเลบานอนอันสูงตระหง่าน

สำหรับบรรดาต้นไม้ใหญ่แห่งบาชาน

14 สำหรับภูเขาซึ่งสูงเสียดฟ้า

และเนินเขาสูงทั้งปวง

15 สำหรับหอคอยสูงตระหง่านทุกที่

สำหรับปราการอันแข็งแกร่งทุกแห่ง

16 สำหรับเรือวาณิชทุกลำ

และเรือที่งามสง่าทั้งผอง

17 ความหยิ่งผยองของมนุษย์จะตกต่ำลง

ความโอ้อวดทรนงของมนุษย์จะถูกปราบ

ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงผู้เดียวจะเป็นที่เทิดทูน

18 และรูปเคารพจะสูญสิ้นไป

19 คนทั้งหลายจะหนีเข้าไปซ่อนตัวตามถ้ำ

ตามซอกหินและในหลุม

ให้พ้นจากความน่าสะพรึงกลัวขององค์พระผู้เป็นเจ้า

และจากความรุ่งโรจน์แห่งพระบารมีของพระองค์

เมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้นมาเขย่าโลก

20 ในวันนั้นมนุษย์จะโยน

รูปเคารพเงินและทอง

ซึ่งตนสร้างขึ้นเพื่อนมัสการนั้น

ให้แก่หนูและค้างคาว

21 เขาจะหนีเข้าไปในอุโมงค์และซอกผา

ให้พ้นจากความน่าสะพรึงกลัวขององค์พระผู้เป็นเจ้า

และจากความรุ่งโรจน์แห่งพระบารมีของพระองค์

เมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้นมาเขย่าโลก

22 จงเลิกวางใจมนุษย์

ซึ่งมีแต่เพียงลมปราณ

เขาจะช่วยอะไรใครได้?

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/ISA/2-3cfbada594d5f9d96cfb208bd7dc4e31.mp3?version_id=179—

อิสยาห์ 3

การพิพากษาเหนือเยรูซาเล็มและยูดาห์

1 ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์

กำลังจะตัดแหล่งน้ำ แหล่งเสบียง

ตัดขุมกำลังของเยรูซาเล็มและยูดาห์

2 จะตัดวีรบุรุษและนักรบ

ตุลาการและผู้เผยพระวจนะ

ผู้ทำนายและผู้อาวุโส

3 นายทหารและขุนนาง

ที่ปรึกษา ช่างฝีมือ และผู้วิเศษ

4 เราจะตั้งเด็กๆ เป็นเจ้านาย

ให้เด็กอมมือเป็นผู้ปกครองพวกเขา

5 ประชาชนจะข่มเหงกันเอง

คนจะต่อสู้กัน เพื่อนบ้านต่อสู้เพื่อนบ้าน

เยาวชนจะลุกฮือขึ้นสู้ผู้อาวุโส

คนถ่อยจะต่อสู้ผู้ทรงเกียรติ

6 คนหนึ่งจะจับตัวพี่น้องของเขา

ที่บ้านบิดาของตนและกล่าวว่า

“ท่านมีเสื้อคลุม ขอท่านมาเป็นผู้นำของเรา

มาดูแลกองปรักหักพังนี้!”

7 แต่ในวันนั้นคนนั้นจะร้องว่า

“ข้าพเจ้าช่วยอะไรไม่ได้

ในบ้านของข้าพเจ้าไม่มีอาหารหรือเสื้อผ้า

อย่าให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำประชาชนเลย”

8 เยรูซาเล็มโซซัดโซเซ

ยูดาห์ล้มลง

วาจาและความประพฤติของเขาต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้า

ลบหลู่ดูหมิ่นต่อพระพักตร์อันทรงเกียรติสิริของพระองค์

9 สีหน้าของเขาฟ้องตัวเอง

พวกเขาอวดบาปของตนเหมือนโสโดม

ไม่ยับยั้งปิดบัง

วิบัติแก่เขา!

เขานำภัยพิบัติมาสู่ตนเอง

10 จงบอกคนชอบธรรมว่าเขาจะอยู่เย็นเป็นสุข

เพราะเขาจะได้ชื่นชมกับผลจากการกระทำของตน

11 วิบัติแก่คนชั่วร้าย! หายนะตกแก่เขา!

เขาจะได้รับโทษสาสมกับสิ่งที่มือของเขาได้ทำ

12 เด็กๆ ข่มเหงรังแกประชากรของเรา

ผู้หญิงปกครองพวกเขา

ประชากรของเราเอ๋ย ผู้นำทางของเจ้าพาเจ้าหลงผิด

พวกเขาทำให้เจ้าออกนอกลู่นอกทาง

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับเหนือบัลลังก์ในศาล

พระองค์ทรงลุกขึ้นพิพากษาประชากร

14 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาบรรดาผู้อาวุโสและผู้นำประชากร

ตรัสว่า “พวกเจ้านี่แหละทำลายสวนองุ่นของเรา

ทรัพย์สินที่ปล้นมาจากคนยากไร้อยู่ในบ้านของเจ้า

15 เจ้าถือดีอย่างไรจึงบังอาจกดขี่ประชากรของเรา

และบดขยี้ใบหน้าของผู้ยากไร้?”

องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนี้

16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“หญิงชาวศิโยน หยิ่งผยอง

เดินชูคอ

ทำตาชม้อยชม้าย

ท่าทางนวยนาด

กำไลข้อเท้าส่งเสียงกรุ๋งกริ๋ง

17 ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้ศีรษะของหญิงชาวศิโยนเป็นชันนะตุ

องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้พวกนางศีรษะล้าน”

18 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงฉวยเครื่องประดับอันวิจิตรงดงามของพวกนางไป คือกำไล เครื่องประดับศีรษะ สร้อยคอรูปวงเดือน

19 ตุ้มหู สร้อยข้อมือ และผ้าคลุมหน้า

20 ชุดประดับเรือนผม กำไลข้อเท้า ผ้าคาดเอว ขวดน้ำอบ และเครื่องราง

21 แหวนตรากับห่วงจมูก

22 ชุดออกงาน เสื้อกั๊ก เสื้อคลุม กระเป๋าถือ

23 กระจก เสื้อผ้าลินิน รัดเกล้า และผ้าคลุมไหล่

24 กลิ่นเหม็นคลุ้งจะมาแทนกลิ่นหอมกรุ่น

เชือกจะมาแทนผ้าคาดเอว

หัวล้านจะแทนทรงผมที่ตกแต่งอย่างดี

ชุดผ้ากระสอบจะมาแทนเสื้อผ้าอย่างดี

ความขายหน้าจะมาแทนความงดงาม

25 พวกผู้ชายจะล้มลงด้วยคมดาบ

พวกนักรบจะตายในสงคราม

26 ประตูต่างๆ ของศิโยนจะร่ำไห้คร่ำครวญ

นางจะสิ้นเนื้อประดาตัวนั่งอยู่ที่พื้น

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/ISA/3-e41e42a455d34b800aef8b04a207e617.mp3?version_id=179—

อิสยาห์ 4

1 ในวันนั้นหญิงเจ็ดคนจะยื้อยุดชายคนเดียว

และกล่าวว่า

“เราจะหาอาหารกินเอง

และจัดหาเสื้อผ้าสำหรับตัวเราเอง

ขอเพียงแต่ให้เราใช้นามสกุลของท่าน

ช่วยลบล้างความอัปยศให้เราด้วยเถิด!”

กิ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า

2 ในวันนั้นกิ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะงดงามและเปี่ยมด้วยราศี ผลแห่งดินแดนนั้นจะเป็นเกียรติสิริและความภาคภูมิใจของชาวอิสราเอลที่เหลือ

3 เขาจะเรียกบรรดาคนที่เหลืออยู่ในศิโยน คืออยู่ในเยรูซาเล็มว่า วิสุทธิชน คือทุกคนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนพลเมืองเยรูซาเล็ม

4 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงชำระล้างมลทินของพวกผู้หญิงศิโยน จะทรงชำระคราบโลหิตจากเยรูซาเล็มโดยวิญญาณแห่งไฟและการพิพากษา

5 จากนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงสร้างกลุ่มเมฆควันในยามกลางวัน และเปลวไฟลุกโชติช่วงในยามกลางคืนเหนือภูเขาศิโยนและเหนือบรรดาผู้ที่ชุมนุมกันอยู่ที่นั่น เหนือสิ่งทั้งหมดเหล่านั้นคือพระเกียรติสิริของพระเจ้าจะเป็นเพดานฟ้า

6 เป็นร่มเงากำบังความร้อนระอุในยามกลางวันและเป็นที่ปกป้องและที่พักพิงจากพายุและฝน

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/ISA/4-731b02a354561ffc46a00b8bff45fb7e.mp3?version_id=179—

อิสยาห์ 5

บทเพลงสวนองุ่น

1 ข้าพเจ้าจะขับร้องบทเพลงแด่ผู้ที่เป็นที่รักของ

ข้าพเจ้า เกี่ยวกับสวนองุ่นของเขา

ที่รักของข้าพเจ้ามีสวนองุ่นแปลงหนึ่งบนไหล่

เขาอันอุดมสมบูรณ์

2 เขาไถที่และกำจัดกรวดหิน

และปลูกองุ่นพันธุ์เยี่ยม

เขาสร้างหอยาม

และสกัดบ่อย่ำองุ่นไว้ด้วย

จากนั้นเขารอเก็บผลองุ่นชั้นดี

แต่กลับได้องุ่นเปรี้ยว

3 “โอ ชาวเยรูซาเล็มและชาวยูดาห์

จงตัดสินความระหว่างเรากับสวนองุ่นของเรา

4 เราจะทำอะไรได้อีก

เพื่อสวนองุ่นของเรา?

เราหวังผลองุ่นที่ดี

แต่ทำไมกลับได้แต่องุ่นเปรี้ยว?

5 เราจะบอกให้ว่าเราจะทำอะไรกับสวนองุ่นนั้น

เราจะรื้อรั้วลงและปล่อยให้สวนนั้นถูกทำลาย

เราจะทลายกำแพงลง

และมันจะถูกเหยียบย่ำ

6 เราจะทิ้งให้เริศร้าง

ไม่ลิดกิ่งหรือพรวนดินให้

ปล่อยให้หนามขึ้นรกไปหมด

เราจะสั่งเมฆไม่ให้ส่งฝน

มารดมันอีกต่อไป”

7 สวนองุ่นของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์คือวงศ์วานอิสราเอล

ชนยูดาห์คือสวนที่ทรงปีติยินดี

พระองค์ทรงหวังให้พวกเขาออกผลเป็นความยุติธรรม แต่กลับเห็นการนองเลือด

ทรงคาดหวังความชอบธรรม แต่กลับได้ยินเสียงโหยไห้ร้องทุกข์

วิบัติและโทษทัณฑ์

8 วิบัติแก่เจ้าผู้ซื้อที่ดิน

จนผู้อื่นไม่มีที่อาศัย

บ้านของเจ้าสร้างบนที่ดินผืนใหญ่

จนเจ้าสามารถอยู่ตามลำพังในดินแดนนั้น

9 ข้าพเจ้าได้ยินพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า

“บ้านใหญ่ๆ จะเริศร้างอย่างแน่นอน

คฤหาสน์งดงามก็จะไร้ผู้อยู่อาศัย

10 สวนองุ่นสิบๆ แอกจะผลิตเหล้าองุ่นได้เพียงบัทเดียว

เมล็ดพืชหนึ่งโฮเมอร์จะให้ผลเพียงเอฟาห์เดียว”

11 วิบัติแก่บรรดาผู้ที่ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่

เพื่อไปดื่มสุราเฉื่อยแฉะและเมาหยำเปจนดึกดื่น

12 ในงานเลี้ยง เขาจัดให้มีพิณใหญ่และพิณเขาคู่

รำมะนา ขลุ่ย และเหล้าองุ่น

แต่ไม่ไยดีสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำ

ไม่เคารพนับถือพระราชกิจของพระองค์

13 ฉะนั้นประชากรของเราจะตกเป็นเชลย

เพราะขาดความเข้าใจ

พวกเจ้าใหญ่นายโตจะตายเพราะความหิวโหย

ส่วนมวลชนก็แห้งระโหยเพราะความกระหาย

14 หลุมฝังศพจึงเพิ่มความอยากของมัน

และอ้าปากกว้าง

กลืนกินทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย

พร้อมทั้งคนที่ทะเลาะวิวาทและที่สนุกสนานเฮฮา

15 มนุษย์จึงถูกทำให้ตกต่ำลง

และมนุษยชาติถูกทำให้ต่ำต้อย

ผู้หยิ่งผยองถูกปราบให้ตกต่ำ

16 แต่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์จะเป็นที่ยกย่องเทิดทูนเนื่องด้วยความยุติธรรมของพระองค์

และพระเจ้าผู้บริสุทธิ์จะสำแดงพระองค์ว่าบริสุทธิ์โดยความชอบธรรมของพระองค์

17 แล้วแกะจะกินหญ้าอยู่ในทุ่งหญ้าของมันเอง

ลูกแกะจะกินอาหารท่ามกลางซากปรักหักพังของคนร่ำรวย

18 วิบัติแก่ผู้ที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมลากดึงบาปและความชั่วร้ายไป

เหมือนใช้เชือกลากดึงเกวียน

19 วิบัติแก่ผู้ที่กล่าวว่า “พระเจ้า เร็วๆ หน่อย

รีบทำการไวๆ เราจะได้เห็น มาเร็วๆ เถิด

ขอให้แผนการขององค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลมาถึง

เราจะได้รู้”

20 วิบัติแก่ผู้ที่เรียกชั่วว่าดี

เรียกดีว่าชั่ว

เรียกมืดว่าสว่าง ที่สว่างกลับว่ามืด

เรียกขมว่าหวาน ที่หวานกลับว่าขม

21 วิบัติแก่ผู้ที่ทึกทักว่าตนเองฉลาด

และหลักแหลมในสายตาของตนเอง

22 วิบัติแก่ผู้ที่อวดเก่งในเรื่องดื่มสุรา

และเป็นผู้ชนะเลิศในการผสมเหล้า

23 ผู้ปล่อยตัวคนทำผิดเพื่อสินบน

และไม่ยอมให้ความยุติธรรมแก่ผู้บริสุทธิ์

24 ดังนั้นรากของพวกเขาจะเน่าเปื่อย

และดอกของเขาจะปลิวไปเหมือนธุลี

เหมือนเปลวไฟเผาฟาง

เหมือนหญ้าแห้งลุกมอดไปในไฟ

เพราะเขาละทิ้งบทบัญญัติของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์

และลบหลู่พระวจนะขององค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล

25 ฉะนั้นพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงเผาผลาญประชากรของพระองค์

พระหัตถ์ของพระองค์เงื้อขึ้นและฟาดพวกเขา

ภูเขาทั้งหลายสะเทือนสะท้าน

ซากศพเหมือนกองขยะกลางถนน

ถึงขนาดนี้แล้วพระพิโรธของพระเจ้าก็ยังไม่หันเห

พระองค์ยังคงเงื้อพระหัตถ์ค้างอยู่

26 พระองค์ทรงชูธงให้สัญญาณแก่ประชาชาติไกลโพ้นทั้งหลาย

ทรงผิวพระโอษฐ์เรียกบรรดาผู้ที่อยู่สุดปลายแผ่นดินโลก

พวกเขาโลดแล่นมาอย่างรวดเร็ว!

27 ไม่มีสักคนที่อ่อนล้าหรือสะดุดล้ม

ไม่มีที่ซึมเซาหรือหลับใหล

เขาคาดเข็มขัดทะมัดทะแมง

สายรัดรองเท้าไม่ขาดสักเส้นเดียว

28 ลูกศรของเขาคมกริบ

คันธนูของเขาโก่งไว้

กีบม้าของเขาเหมือนหินเหล็กไฟ

ล้อรถรบของเขาเหมือนพายุหมุน

29 เสียงคำรามของเขาเหมือนราชสีห์

พวกเขาคำรามเหมือนสิงห์หนุ่ม

เขาส่งเสียงร้องขณะตะครุบเหยื่อ

และลากทึ้งไปโดยไม่มีใครช่วย

30 ในวันนั้นพวกเขาจะคำรามเข้าใส่เหยื่อ

เหมือนเสียงทะเลคำรน

และเมื่อใครมองดูดินแดนนั้น

จะเห็นความมืดและความทุกข์โศก

แม้แต่แสงสว่างก็ถูกเมฆบดบังจนมืดมิด

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/ISA/5-c2272ed1e7fafc66d63f4146a0957b1d.mp3?version_id=179—

อิสยาห์ 6

พระเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่ให้อิสยาห์

1 ในปีที่กษัตริย์อุสซียาห์สิ้นพระชนม์ ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับบนบัลลังก์อันสูงส่งและเป็นที่เทิดทูน ชายฉลองพระองค์ปกคลุมทั่วพระวิหาร

2 เหนือพระองค์มีเสราฟิม แต่ละตนมีหกปีก สองปีกปกหน้า สองปีกปกเท้าและอีกสองปีกบินไปมา

3 ต่างร้องขานรับต่อๆ กันว่า

“บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ คือพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์

ทั่วโลกเต็มไปด้วยพระเกียรติสิริของพระองค์”

4 เสียงทูตสวรรค์เหล่านี้ทำให้เสาประตูและธรณีประตูสั่นสะเทือน มีควันปกคลุมทั่วพระวิหาร

5 ข้าพเจ้าจึงร้องว่า “วิบัติแก่ข้าพเจ้า! ข้าพเจ้าพินาศแล้ว! เพราะข้าพเจ้าเป็นคนที่ริมฝีปากไม่สะอาด และใช้ชีวิตในหมู่ชนชาติที่มีริมฝีปากไม่สะอาด และตาของข้าพเจ้าได้เห็นองค์กษัตริย์คือพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์”

6 แล้วเสราฟิมตนหนึ่งบินมาหาข้าพเจ้า มีถ่านลุกโชนซึ่งใช้คีมคีบมาจากแท่นบูชาอยู่ในมือ

7 ทูตสวรรค์นั้นใช้ถ่านแตะริมฝีปากข้าพเจ้า และกล่าวว่า “ดูเถิด ถ่านนี้แตะริมฝีปากของเจ้าแล้ว ความผิดของเจ้าถูกลบไป และบาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”

8 แล้วข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะส่งผู้ใดไป? และใครจะไปเพื่อเรา?”

ข้าพเจ้ากราบทูลว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ ขอทรงส่งข้าพระองค์ไปเถิด!”

9 พระองค์ตรัสว่า “จงไปบอกชนชาตินี้ว่า

“‘จงฟังแล้วฟังเล่าแต่จะไม่มีวันเข้าใจ

ดูแล้วดูเล่าแต่จะไม่มีวันเห็น’

10 จงทำให้จิตใจของชนชาตินี้ดื้อด้านไป

ทำให้หูของพวกเขาตึง

และปิดตาของพวกเขาเสีย

มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะได้เห็นกับตา

ได้ยินกับหู

เข้าใจด้วยจิตใจ

และหันกลับมาและได้รับการรักษาให้หาย”

11 ข้าพเจ้ากราบทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า จะอีกนานเพียงไร?”

พระองค์ตรัสตอบว่า

“จนกระทั่งนครต่างๆ อยู่ในสภาพปรักหักพัง

ไม่มีคนอยู่อาศัย

จนกระทั่งบ้านเรือนถูกทิ้งร้าง

ท้องทุ่งถูกเหยียบย่ำทำลาย

12 ตราบจนองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งทุกคนไปยังแดนไกลโพ้น

และแผ่นดินถูกทิ้งร้างหมดสิ้น

13 และแม้จะเหลือคนหนึ่งในสิบอยู่ในดินแดนนั้น

มันก็ยังเริศร้าง

แต่เช่นเดียวกับต้นเทเรบินธ์และต้นโอ๊ก

เมื่อถูกโค่นยังเหลือตอฉันใด

ตอในดินแดนนั้นจะเป็นเมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์ที่จะงอกขึ้นอีกครั้งฉันนั้น”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/ISA/6-34c268864ef08fe00e5bca23ff70b344.mp3?version_id=179—

อิสยาห์ 7

หมายสำคัญของอิมมานูเอล

1 ในรัชกาลกษัตริย์อาหัสแห่งยูดาห์ โอรสของโยธามซึ่งเป็นโอรสของอุสซียาห์ กษัตริย์เรซีนแห่งอารัม และกษัตริย์เปคาห์แห่งอิสราเอล โอรสของเรมาลิยาห์ กรีธาทัพมาโจมตีเยรูซาเล็ม แต่ยึดเมืองไม่ได้

2 เมื่อข่าวมาถึงราชวงศ์ของดาวิดว่า “อารัมร่วมเป็นพันธมิตรกับเอฟราอิม” ทั้งจิตใจของอาหัสและราษฎรก็หวาดหวั่นเหมือนต้นไม้ในป่าสั่นสะท้านกลางพายุ

3 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอิสยาห์ว่า “เจ้ากับเชอารยาชูบบุตรของเจ้า จงออกไปพบอาหัสที่ปลายท่อน้ำของอ่างเก็บน้ำด้านบน ในทางที่จะไปลานซักฟอก

4 จงกล่าวกับเขาว่า ‘ให้ระวัง นิ่งสงบ อย่ากลัวเลย อย่าเสียขวัญเพราะดุ้นฟืนที่กำลังจะมอดทั้งสองนี้ คือความเกรี้ยวกราดของกษัตริย์เรซีนแห่งอารัมและของบุตรเรมาลิยาห์

5 อารัม เอฟราอิม และบุตรของเรมาลิยาห์คบคิดกันทำลายล้างเจ้า และพูดกันว่า

6 “ให้เราบุกยูดาห์ ยึดดินแดนมาแบ่งกัน และตั้งบุตรของทาเบเอลขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองที่นี่”

7 แต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสว่า

“‘จะไม่เป็นไปเช่นนั้น

จะไม่เกิดขึ้น

8 เพราะหัวของอารัมคือดามัสกัส

และหัวของดามัสกัสคือเรซีนเท่านั้น

เอฟราอิมก็เช่นกัน ภายในหกสิบห้าปี

จะถูกบดขยี้ไม่เหลือเป็นชนชาติ

9 หัวของเอฟราอิมคือสะมาเรีย

และหัวของสะมาเรียก็เป็นแค่บุตรของเรมาลิยาห์

หากเจ้าไม่ตั้งมั่นในความเชื่อ

เจ้าก็ไม่อาจยืนอยู่ได้เลย’ ”

10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอาหัสอีกครั้งว่า

11 “จงขอหมายสำคัญจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ไม่ว่าจะในที่ลึกที่สุดหรือในที่สูงที่สุดก็ได้”

12 แต่อาหัสตรัสว่า “เราจะไม่ทูลขอ เราจะไม่ทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า”

13 แล้วอิสยาห์กล่าวว่า “เจ้าผู้เป็นวงศ์วานของดาวิด จงฟังเถิด! ท่านยั่วความอดทนของมนุษย์ยังไม่พอหรือ? ท่านจะพยายามยั่วความอดกลั้นพระทัยของพระเจ้าด้วยหรือ?

14 ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าเองจะประทานหมายสำคัญแก่ท่านคือหญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และจะเรียกบุตรนั้นว่าอิมมานูเอล

15 เมื่อเขาโตพอที่จะกินนมข้นและน้ำผึ้ง เมื่อนั้นเขาจะรู้จักทิ้งสิ่งที่ผิดและเลือกสิ่งที่ถูก

16 แต่ก่อนที่เด็กนั้นจะรู้ความ ดินแดนของกษัตริย์สององค์ที่ท่านกลัวนั้นจะถูกทิ้งร้าง

17 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงนำกษัตริย์อัสซีเรียมายังท่านและมายังเหล่าประชากรและวงศ์วานบิดาของท่านในช่วงเวลาที่ไม่มีเวลาใดเหมือน นับตั้งแต่เอฟราอิมแยกไปจากยูดาห์”

18 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงผิวพระโอษฐ์เรียกฝูงเหลือบจากธารน้ำไกลโพ้นของอียิปต์และฝูงผึ้งจากดินแดนอัสซีเรียมา

19 พวกมันจะมารวมตัวกันอยู่ที่ห้วยลึกและในโพรงหิน เหนือพุ่มหนามและที่ตาน้ำทุกแห่ง

20 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงใช้ใบมีดโกนนี้ คือกษัตริย์อัสซีเรียซึ่งท่านจ้างมาจากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำยูเฟรติสเพื่อโกนผม ขนหน้าแข้ง และหนวดเคราของท่าน

21 ในวันนั้นชายคนหนึ่งจะเลี้ยงวัวสาวหนึ่งตัวกับแพะสองตัวไว้

22 เขาจะมีนมข้นกินเพราะมันให้น้ำนมมาก คนทั้งปวงที่เหลืออยู่ในดินแดนนั้นจะกินนมข้นและน้ำผึ้ง

23 ในวันนั้นทุกแห่งที่มีต้นองุ่นพันต้นซึ่งมีมูลค่าเป็นเงินหนักพันเชเขลจะมีแต่พงหนาม

24 คนจะถือคันธนูและลูกธนูไปที่นั่น เพราะทั้งดินแดนจะมีหนามปกคลุม

25 เนินเขาต่างๆ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้จอบเสียมขุดพรวนดินเพื่อเพาะปลูก จะไม่มีใครกล้าไปที่นั่นเพราะกลัวหนาม จะกลายเป็นที่ปล่อยฝูงวัวและเป็นที่ให้แกะย่ำไปมา

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/ISA/7-89ca83820ac7224a87e08da8ee5d0818.mp3?version_id=179—