เอเสเคียล 43

พระเกียรติสิริกลับคืนสู่พระวิหาร

1 แล้วชายผู้นั้นนำข้าพเจ้ามายังประตูซึ่งหันไปทางตะวันออก

2 และข้าพเจ้าเห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้าแห่งอิสราเอลมาจากทางตะวันออก พระสุรเสียงของพระองค์เหมือนเสียงกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก และแผ่นดินก็เจิดจ้าด้วยพระเกียรติสิริของพระองค์

3 นิมิตที่ข้าพเจ้าเห็นนี้เหมือนกับนิมิตที่ข้าพเจ้าเห็นในคราวที่พระองค์เสด็จมาทำลายกรุงนั้น และเหมือนนิมิตที่ข้าพเจ้าเห็นริมแม่น้ำเคบาร์ ข้าพเจ้าจึงหมอบกายซบหน้าลงกับพื้น

4 พระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าเข้าสู่พระวิหารทางประตูด้านตะวันออก

5 แล้วพระวิญญาณทรงยกข้าพเจ้าขึ้น นำข้าพเจ้ามาที่ลานชั้นใน และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าปกคลุมทั่วพระวิหาร

6 ขณะที่เขาผู้นั้นยืนอยู่ข้างข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ยินผู้หนึ่งตรัสกับข้าพเจ้าดังมาจากภายในพระวิหาร

7 พระองค์ตรัสว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย บัลลังก์และแท่นวางเท้าของเราอยู่ที่นี่ นี่คือที่ซึ่งเราจะสถิตอยู่ท่ามกลางชนชาติอิสราเอลตลอดไป พงศ์พันธุ์อิสราเอล ไม่ว่าประชาชนหรือกษัตริย์จะไม่ทำให้นามอันบริสุทธิ์ของเราแปดเปื้อนมลทินอีก โดยการนอกใจและกราบไหว้รูปเคารพอันไร้ชีวิตของกษัตริย์ของเขาที่สถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย

8 เมื่อพวกเขาวางธรณีประตูถัดจากธรณีประตูของเรา และประตูถัดจากประตูของเรา มีเพียงผนังซึ่งกั้นระหว่างเรากับเขา เขาก็ทำให้นามอันบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทินโดยการกระทำอันน่าชิงชัง ฉะนั้นเราจึงทำลายเขาด้วยความโกรธ

9 บัดนี้ให้เขากำจัดการนอกใจและรูปเคารพอันไร้ชีวิตของเหล่ากษัตริย์ของพวกเขาไปจากเรา แล้วเราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขาตลอดไป

10 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกล่าวถึงพระวิหารให้ประชาชนอิสราเอลฟัง เพื่อเขาจะละอายใจในบาปของตน ให้เขาพิจารณาแผนผังของพระวิหาร

11 และหากเขาละอายใจในสิ่งทั้งปวงที่ทำไปแล้ว ก็จงแจ้งแผนผังพระวิหาร การจัดเตรียมทางเข้าออก แผนผังทั้งหมด ตลอดจนกฎเกณฑ์และบทบัญญัติต่างๆ จงบันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้ต่อหน้าเขา เพื่อเขาจะทำตามแผนผังและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทั้งปวง

12 “นี่เป็นกฎเรื่องพระวิหาร คืออาณาบริเวณโดยรอบบนยอดเขาจะเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด นั่นเป็นกฎของพระวิหาร

แท่นบูชา

13 “นี่เป็นขนาดของแท่นบูชา วัดเป็นหน่วย หน่วยหนึ่งเท่ากับ 1 ศอกกับ 1 ฝ่ามือร่องของแท่นบูชานั้นลึก 1 ศอก และกว้าง 1 ศอก ที่ขอบมีริมหนา 1 คืบความสูงของแท่นมีดังนี้

14 จากฐานที่พื้นมาถึงคิ้วล่างของแท่นสูง 2 ศอก กว้าง 1 ศอกและจากคิ้วที่เล็กกว่าขึ้นถึงคิ้วที่ใหญ่กว่าสูง 4 ศอก กว้าง 1 ศอก

15 เตาของแท่นบูชาสูง 4 ศอกและเชิงงอนทั้งสี่ยื่นขึ้นมาจากเตา

16 เตาของแท่นบูชาเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวด้านละ 12 ศอก

17 คิ้วบนก็เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวด้านละ 14 ศอกยกริมรอบหนาครึ่งศอกและมีร่องขนาด 1 ศอกโดยรอบ บันไดแท่นบูชาหันไปทางตะวันออก”

18 แล้วเขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า ต่อไปนี้คือกฎเกณฑ์เรื่องการถวายเครื่องเผาบูชาและการประพรมเลือดเหนือแท่นในวันที่สร้างเสร็จ

19 เจ้าจงมอบวัวหนุ่มเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปแก่ปุโรหิตชาวเลวีในครอบครัวของศาโดกผู้เข้ามาปฏิบัติงานใกล้ชิดต่อหน้าเรา พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนี้

20 เจ้าจงเอาเลือดบางส่วนทาที่เชิงงอนทั้งสี่ของแท่นบูชาและที่มุมทั้งสี่ของคิ้วบนและริมโดยรอบ เป็นการชำระแท่นบูชาและลบมลทินแท่นนั้น

21 เจ้าจงใช้วัวหนุ่มเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปและเผาในที่ซึ่งกำหนดไว้ในบริเวณพระวิหารนอกสถานนมัสการ

22 “ในวันที่สอง เจ้าจงถวายแพะผู้ที่ไม่มีตำหนิเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และจงชำระแท่นเหมือนเมื่อชำระโดยใช้วัวผู้

23 เมื่อเจ้าชำระแท่นนั้นเสร็จแล้ว จงถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัวและแกะผู้คัดจากฝูงหนึ่งตัว ทั้งวัวและแกะผู้ต้องไม่มีตำหนิ

24 เจ้าจงถวายสัตว์ทั้งสองต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและปุโรหิตจะเหยาะเกลือบนวัวและแกะผู้ถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

25 “ตลอดเจ็ดวัน เจ้าจงถวายแพะผู้วันละตัวเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และจงเตรียมวัวหนุ่มหนึ่งตัวและแกะผู้คัดจากฝูงหนึ่งตัวด้วย สัตว์เหล่านี้ต้องไม่มีตำหนิ

26 ตลอดเจ็ดวันพวกเขาต้องลบมลทินและชำระให้สะอาดเพื่อเป็นการถวายแท่นนั้น

27 เมื่อครบเจ็ดวันแล้ว ตั้งแต่วันที่แปดเป็นต้นไป ปุโรหิตต้องนำเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชาของเจ้ามาถวายบนแท่นบูชา แล้วเราจะยอมรับพวกเจ้า พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/43-cd2addb8a95e52213b8f91db8e317ba4.mp3?version_id=179—

เอเสเคียล 44

เจ้านาย ชนเลวี ปุโรหิต

1 แล้วชายผู้นั้นพาข้าพเจ้ามาที่ประตูชั้นนอก ทางด้านตะวันออกของสถานนมัสการ ประตูนั้นปิดอยู่

2 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ให้ประตูปิดอยู่อย่างนี้ อย่าเปิด อย่าให้ใครเข้าไปทางนี้ ให้ประตูปิดอยู่ตลอดเวลา เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้เสด็จเข้าไปทางนี้

3 เจ้านายองค์นั้นองค์เดียวที่สามารถประทับอยู่ตรงทางเข้า เพื่อรับประทานอาหารต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้ากษัตริย์นั้นจะเข้าทางมุขหน้าและออกไปทางเดียวกัน”

4 แล้วเขาผู้นั้นพาข้าพเจ้าผ่านประตูด้านเหนือมายังด้านหน้าของพระวิหาร ข้าพเจ้ามองเห็นพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าปกคลุมทั่วพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าข้าพเจ้าก็หมอบกายซบหน้าลงกับพื้น

5 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงมองให้เต็มตา จงฟังให้เต็มหู และจงเอาใจใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราบอกเจ้า เรื่องกฎเกณฑ์เกี่ยวกับพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าจงใส่ใจเรื่องทางเข้าพระวิหารและทางเข้าออกทุกทางของสถานนมัสการ

6 จงกล่าวกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลซึ่งชอบกบฏว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย! พอเสียทีกับการกระทำอันน่าชิงชังทั้งหลายของเจ้า

7 นอกเหนือจากความประพฤติอันน่าชิงชังอื่นๆ แล้ว เจ้ายังพาชาวต่างชาติผู้ไม่ได้เข้าสุหนัตทั้งกายและใจเข้ามายังสถานนมัสการของเรา เป็นการทำให้วิหารของเรามัวหมอง ในขณะที่เจ้าถวายอาหาร ไขมัน และเลือดแก่เรา เจ้าก็ละเมิดพันธสัญญาของเรา

8 แทนที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเกี่ยวกับสิ่งบริสุทธิ์ของเรา เจ้าก็ให้คนอื่นมารับผิดชอบดูแลสถานนมัสการของเรา

9 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า อย่าให้ชาวต่างชาติคนใดที่ไม่ได้เข้าสุหนัตทั้งกายและใจเข้ามาในสถานนมัสการของเรา ห้ามแม้กระทั่งชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในหมู่ชาวอิสราเอล

10 “ ‘ชนเลวีที่ห่างไกลจากเราเมื่อครั้งอิสราเอลหลงผิดไป และที่เตลิดจากเราไปติดตามรูปเคารพต่างๆ จะต้องรับผลที่เกิดจากบาปของพวกเขา

11 เขาอาจจะทำงานรับใช้ในสถานนมัสการของเรา ดูแลประตูพระวิหารและปฏิบัติงานที่นั่น เขาอาจฆ่าสัตว์ เครื่องเผาบูชา หรือเครื่องบูชาต่างๆ ให้ประชาชน และยืนอยู่ต่อหน้าประชาชนและรับใช้พวกเขา

12 แต่เนื่องจากเขาเคยรับใช้ประชาชนต่อหน้ารูปเคารพต่างๆ และทำให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลทำบาป ฉะนั้นเราได้ชูมือปฏิญาณว่าพวกเขาต้องรับผลที่เกิดจากบาปของตน พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น

13 อย่าให้เขาเข้ามารับใช้เราอย่างใกล้ชิดในฐานะปุโรหิต หรือเข้ามาใกล้เครื่องบูชาบริสุทธิ์ที่สุดหรือสิ่งบริสุทธิ์ใดๆ ของเรา เขาต้องรับความอัปยศอดสูจากการกระทำที่น่าชิงชังของตน

14 ถึงกระนั้นเราจะตั้งให้เขารับผิดชอบหน้าที่ต่างๆ และงานทั้งปวงในพระวิหาร

15 “ ‘ส่วนปุโรหิตชาวเลวีวงศ์วานของศาโดกผู้ซึ่งยังปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ในสถานนมัสการของเรา เมื่อชาวอิสราเอลหลงไปจากเรานั้น ให้เขามารับใช้ใกล้ชิดยืนอยู่ตรงหน้าเรา ถวายเครื่องบูชาคือไขมันและเลือด พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น

16 พวกเขาเท่านั้นที่เข้ามาในสถานนมัสการของเราได้ เราอนุญาตให้พวกเขาเท่านั้นที่เข้ามาใกล้โต๊ะของเรา เพื่อรับใช้ต่อหน้าเราและปฏิบัติหน้าที่เพื่อเรา

17 “ ‘เมื่อเขาจะเข้าประตูลานชั้นใน ต้องสวมเครื่องแต่งกายผ้าลินิน อย่าสวมเครื่องแต่งกายขนสัตว์ใดๆ ขณะปฏิบัติหน้าที่ที่ประตูต่างๆ ของลานชั้นในหรือภายในพระวิหาร

18 ให้เขาโพกผ้าลินินไว้ที่ศีรษะและสวมเครื่องแต่งกายชั้นในที่ทำจากผ้าลินินรอบเอว ไม่ให้สวมสิ่งใดที่จะทำให้เหงื่อออก

19 เมื่อเขาจะออกมาสู่ลานชั้นนอกที่ประชาชนอยู่ ให้ถอดเครื่องแต่งกายที่ใช้ปฏิบัติหน้าที่ออกวางไว้ในห้องศักดิ์สิทธิ์ และสวมเครื่องแต่งกายอื่นๆ จะได้ไม่เป็นการทำให้ประชาชนศักดิ์สิทธิ์โดยอาศัยเครื่องแต่งกายของพวกเขา

20 “ ‘อย่าให้ปุโรหิตโกนผมหรือปล่อยผมยาว แต่จงตัดผมให้เรียบร้อย

21 อย่าให้ปุโรหิตคนใดดื่มเหล้าองุ่นเมื่อเข้าไปยังลานชั้นใน

22 ห้ามเขาแต่งงานกับแม่ม่ายหรือหญิงที่หย่าร้าง แต่ให้แต่งงานกับหญิงพรหมจารีเชื้อสายอิสราเอลหรือภรรยาม่ายของปุโรหิตเท่านั้น

23 พวกเขาต้องสั่งสอนประชากรของเราถึงข้อแตกต่างระหว่างสิ่งที่บริสุทธิ์และสิ่งที่สามัญ และสอนให้ประชากรรู้จักแยกแยะระหว่างสิ่งที่เป็นมลทินและสิ่งที่สะอาด

24 “ ‘เมื่อมีคดีความ ให้ปุโรหิตทำหน้าที่พิพากษาตัดสินความตามข้อกำหนดของเรา ให้เขารักษาบทบัญญัติและกฎหมายของเราเรื่องเทศกาลต่างๆ ตามกำหนด เขาจะต้องรักษาสะบาโตของเราให้บริสุทธิ์

25 “ ‘ปุโรหิตอย่าทำตัวให้เป็นมลทินโดยเข้าไปใกล้คนตาย เว้นแต่เป็นบิดามารดา บุตรชายบุตรสาว พี่ชายน้องชาย หรือพี่สาวน้องสาวที่ยังไม่มีสามี จึงยอมให้ตนเป็นมลทินได้

26 หลังจากที่ชำระตัวแล้ว ให้คอยไปอีกเจ็ดวัน

27 ในวันที่จะเข้าไปสู่ลานชั้นในของสถานนมัสการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในสถานนมัสการ เขาจะต้องถวายเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อตัวเอง พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น

28 “ ‘เราจะเป็นทรัพย์สมบัติอย่างเดียวของปุโรหิต เขาไม่ต้องถือกรรมสิทธิ์ใดๆ ในอิสราเอล เพราะเราจะเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา

29 ให้เขารับประทานธัญบูชา เครื่องบูชาไถ่บาป เครื่องบูชาลบความผิด จงยกทุกสิ่งทุกอย่างในอิสราเอลที่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าให้เป็นของปุโรหิต

30 ส่วนที่ดีที่สุดของผลแรกและของเครื่องถวายพิเศษทั้งปวงของเจ้าจะเป็นของบรรดาปุโรหิต เจ้าจงมอบธัญญาหารรุ่นแรกแก่พวกเขา เพื่อพรจะอยู่เหนือครัวเรือนของเจ้า

31 ปุโรหิตอย่ารับประทานสัตว์ที่ตายเองหรือถูกสัตว์ร้ายฉีกกัด ไม่ว่าจะเป็นนกหรือสัตว์อื่น

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/44-79e2f9a35e5647ff0471a1e946bd7200.mp3?version_id=179—

เอเสเคียล 45

การแบ่งสรรที่ดิน

1 “ ‘เมื่อเจ้าแบ่งสรรดินแดนกรรมสิทธิ์ จงถวายที่ดินส่วนหนึ่งแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ยาว 25,000 คิวบิทและกว้าง 20,000 คิวบิททั้งเขตแดนนั้นจะเป็นที่บริสุทธิ์

2 ในบริเวณนี้ให้มีที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวด้านละ 500 คิวบิทเพื่อเป็นสถานนมัสการและมีที่ว่างโดยรอบเป็นระยะ 50 คิวบิท

3 ในเขตศักดิ์สิทธิ์นี้ จงวัดที่แบ่งออกมาให้ได้ขนาดยาว 25,000 คิวบิท กว้าง 10,000 คิวบิทในบริเวณนี้จะเป็นสถานนมัสการคืออภิสุทธิสถาน

4 จะเป็นเขตแดนบริสุทธิ์สำหรับบรรดาปุโรหิต ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในสถานนมัสการ และเข้าปรนนิบัติรับใช้อยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าใช้เป็นที่สำหรับบ้านเรือนของปุโรหิตและวิสุทธิสถานของสถานนมัสการ

5 อีกส่วนซึ่งยาว 25,000 คิวบิท และกว้าง 10,000 คิวบิท เป็นของคนเลวีซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในพระวิหาร มอบให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาที่จะสร้างบ้านเมืองเพื่ออยู่อาศัย

6 “ ‘เจ้าจงมอบที่กว้าง 5,000 คิวบิทยาว 25,000 คิวบิท ต่อจากเขตศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นส่วนของเมืองนั้น ที่นี่จะเป็นของพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมด

7 “ ‘ที่ดินแต่ละข้างของเนื้อที่เขตศักดิ์สิทธิ์และทรัพย์สมบัติของเมืองยกให้เป็นของเจ้านาย ทอดออกไปทางตะวันตกและตะวันออก ตลอดความยาวของพรมแดนตะวันตกจดตะวันออกเทียบเท่ากับส่วนที่ยกให้ตระกูลหนึ่ง

8 ที่ดินนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้านายในอิสราเอล และเจ้านายเหล่านั้นจะได้ไม่กดขี่ข่มเหงประชากรของเราอีกต่อไป แต่จะยอมให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลครอบครองดินแดนตามตระกูลต่างๆ

9 “ ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่าบรรดาเจ้านายของอิสราเอลเอ๋ย เจ้าทำเกินเลยมามากพอแล้ว! เลิกกดขี่ข่มเหงและทารุณเถิด จงทำสิ่งที่ถูกต้อง ยุติธรรม และเลิกเสือกไสไล่ส่งประชากรของเราจากกรรมสิทธิ์ของเขา พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น

10 จงใช้เครื่องชั่งที่เที่ยงตรง เอฟาห์และบัทที่เที่ยงตรง

11 เอฟาห์จะเท่ากับบัท คือเอฟาห์และบัทล้วนเท่ากับหนึ่งในสิบโฮเมอร์ โฮเมอร์เป็นหน่วยมาตรฐานของการตวงทั้งของแห้งและของเหลว

12 1 เชเขลเท่ากับ 20 เกราห์และ 60 เชเขลเท่ากับ 1 มินา

ของถวายและวันบริสุทธิ์

13 “ ‘ของถวายพิเศษที่เจ้าจะต้องนำมามอบให้คือ ข้าวสาลีหนึ่งในหกเอฟาห์จากทุกๆ หนึ่งโฮเมอร์ ข้าวบาร์เลย์ก็หนึ่งในหกเอฟาห์จากทุกๆ หนึ่งโฮเมอร์

14 ส่วนน้ำมันตวงด้วยหน่วยบัท คือหนึ่งในสิบบัทจากทุกหนึ่งโคร์ (ซึ่งเท่ากับหนึ่งโฮเมอร์หรือสิบบัท)

15 พร้อมทั้งแกะหนึ่งตัวจากทุกสองร้อยตัว จากทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ของอิสราเอล สิ่งเหล่านี้จะใช้เป็นธัญบูชา เครื่องเผาบูชา และเครื่องสันติบูชาเพื่อลบบาปสำหรับประชากร พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น

16 ประชากรทั้งหมดจะร่วมกันนำของถวายพิเศษนี้มาสำหรับเจ้านายของอิสราเอล

17 เป็นหน้าที่ของเจ้านายที่จะจัดเตรียมเครื่องเผาบูชา ธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาซึ่งใช้ในเทศกาลต่างๆ วันขึ้นหนึ่งค่ำและสะบาโตทั้งหลาย คือทุกเทศกาลที่กำหนดไว้ของพงศ์พันธุ์อิสราเอล เขาจะจัดเครื่องบูชาไถ่บาป ธัญบูชา เครื่องเผาบูชา และเครื่องสันติบูชาเพื่อลบบาปของพงศ์พันธุ์อิสราเอล

18 “ ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า ในวันที่หนึ่งเดือนที่หนึ่ง เจ้าจงเอาวัวหนุ่มปราศจากตำหนิมาเพื่อการชำระสถานนมัสการ

19 ให้ปุโรหิตเอาเลือดของเครื่องบูชาไถ่บาปทาไว้ที่เสาประตูพระวิหาร ที่มุมทั้งสี่ของคิ้วบนของแท่นบูชา และที่เสาประตูของลานชั้นใน

20 จงทำอย่างนี้อีกในวันที่เจ็ดของเดือนนั้น เป็นการลบมลทินของพระวิหารเพื่อผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งทำบาปโดยไม่เจตนาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์

21 “ ‘ในวันที่สิบสี่เดือนที่หนึ่ง จงถือเทศกาลปัสกา เจ้าจะกินขนมปังไม่ใส่เชื้อตลอดเจ็ดวันของเทศกาล

22 ในวันนั้นเจ้านายจะถวายวัวหนุ่มเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับตนเอง และสำหรับประชาชนทั้งหมด

23 ทุกวันตลอดเจ็ดวันของเทศกาล เขาจะถวายวัวหนุ่มเจ็ดตัวและแกะผู้เจ็ดตัว ซึ่งปราศจากตำหนิ เป็นเครื่องเผาบูชาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

24 เขาจะจัดธัญบูชาควบคู่โดยใช้แป้ง 1 เอฟาห์ต่อวัวหนุ่มหนึ่งตัว และ 1 เอฟาห์ต่อแกะผู้หนึ่งตัว พร้อมทั้งน้ำมัน 1 ฮินต่อแป้ง 1 เอฟาห์

25 “ ‘ตลอดเจ็ดวันของเทศกาลนั้น ซึ่งเริ่มในวันที่สิบห้าของเดือนที่เจ็ด ให้เขาจัดเตรียมเครื่องบูชาไถ่บาป เครื่องเผาบูชา ธัญบูชา และน้ำมันแบบเดียวกัน

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/45-9ab431886ccf5a0a856932f3bef8e323.mp3?version_id=179—

เอเสเคียล 46

1 “ ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า ประตูด้านตะวันออกสู่ลานชั้นในให้ปิดตลอดวันทำงานหกวัน แต่ให้เปิดในวันสะบาโตและวันขึ้นหนึ่งค่ำ

2 เจ้านายจะเข้ามาจากด้านนอกผ่านมุขตรงทางเข้าและยืนอยู่ข้างเสาประตู ให้เหล่าปุโรหิตถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชาของเจ้านาย ให้เจ้านายนมัสการพระเจ้าที่ธรณีประตูนั้นแล้วออกไป แต่ไม่ต้องปิดประตูจนกว่าจะถึงเวลาเย็น

3 ในวันสะบาโตและวันขึ้นหนึ่งค่ำ ให้ประชาชนทั้งปวงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทางเข้าก่อนถึงประตูนั้น

4 เครื่องเผาบูชาที่เจ้านายนำมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าในวันสะบาโตได้แก่ ลูกแกะตัวผู้หกตัวและแกะผู้หนึ่งตัว ล้วนไม่มีตำหนิ

5 ธัญบูชา 1 เอฟาห์ถวายควบคู่แกะผู้ ส่วนธัญบูชาควบคู่ลูกแกะ แล้วแต่เจ้านายจะเห็นชอบ และถวายน้ำมัน 1 ฮินควบคู่ธัญบูชาทุกๆ 1 เอฟาห์

6 ในวันขึ้นหนึ่งค่ำ ให้เจ้านายถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว ลูกแกะหกตัวและแกะผู้หนึ่งตัว ล้วนไม่มีตำหนิ

7 ให้เขาเตรียมธัญบูชา 1 เอฟาห์ควบคู่กับวัวผู้ และอีก 1 เอฟาห์ควบคู่กับแกะผู้ และตามที่เห็นชอบควบคู่กับลูกแกะ พร้อมทั้งน้ำมัน 1 ฮินต่อธัญบูชาทุกๆ 1 เอฟาห์

8 เมื่อเจ้านายเข้ามา ให้เข้าทางมุขตรงทางเข้าและออกไปทางเดียวกันนั้น

9 “ ‘เมื่อประชาชนมาเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าตามเทศกาลที่กำหนด ใครที่เข้าทางประตูด้านเหนือเพื่อนมัสการให้ออกทางประตูด้านใต้ และใครที่เข้าทางประตูด้านใต้ให้ออกทางประตูด้านเหนือ ไม่ให้ผู้ใดกลับออกไปทางเดียวกับที่ตนเข้ามา แต่ให้กลับออกไปทางประตูตรงกันข้าม

10 เจ้านายจะอยู่ท่ามกลางประชาชน เมื่อประชาชนเข้าไป เจ้านายก็เข้าไปด้วยและเมื่อประชาชนออกมา เขาก็ออกมาด้วย

11 “ ‘ในเทศกาลตามกำหนดและงานเลี้ยงวาระต่างๆ ให้ใช้ธัญบูชา 1 เอฟาห์ควบคู่กับวัวผู้หนึ่งตัว อีก 1 เอฟาห์ควบคู่กับแกะผู้หนึ่งตัว ส่วนที่ควบคู่กับลูกแกะจะเท่าไรก็ได้แล้วแต่เห็นชอบพร้อมทั้งน้ำมัน 1 ฮินควบคู่กับธัญบูชาทุกๆ 1 เอฟาห์

12 เมื่อเจ้านายถวายเครื่องบูชาตามความสมัครใจแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องสันติบูชาก็ตาม จงเปิดประตูที่หันไปทางด้านตะวันออกให้เขา เขาจะถวายเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องสันติบูชาเหมือนในวันสะบาโต แล้วเขาจะออกไป เมื่อเขาออกไปแล้วก็จงปิดประตู

13 “ ‘ทุกเช้าจงถวายลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบซึ่งไม่มีตำหนิเป็นเครื่องเผาบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

14 และทุกเช้าจงถวายธัญบูชาหนึ่งในหกเอฟาห์ควบคู่ และน้ำมันหนึ่งในสามฮินเพื่อคลุกเคล้าแป้ง การถวายธัญบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้านี้ให้ถือปฏิบัติตลอดไป

15 ฉะนั้นให้จัดเตรียมลูกแกะ และธัญบูชากับน้ำมันเป็นเครื่องเผาบูชาเป็นประจำทุกเช้า

16 “ ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า หากเจ้านายมอบที่มรดกเป็นของขวัญให้แก่บุตรชาย ที่ผืนนั้นก็จะเป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลานของเขาสืบต่อไป

17 แต่หากเจ้านายมอบที่มรดกเป็นของขวัญให้แก่คนใช้ เขาจะครอบครองจนถึงปีแห่งการปลดปล่อย แล้วที่ผืนนั้นจะกลับมาเป็นของเจ้านายตามเดิม ที่มรดกจะเป็นสมบัติของลูกๆ เจ้านายเท่านั้น

18 เจ้านายต้องไม่ริบที่มรดกของประชาชนมาเป็นสมบัติของตน หรือผลักไสไล่ส่งประชาชนออกจากที่ดินของพวกเขา เจ้านายจะมอบที่ดินให้แก่ลูกหลานของเขาได้เฉพาะส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ตกทอดมาถึงเขา เพื่อไม่ให้ประชากรคนหนึ่งคนใดของเราถูกพรากจากที่ดินของตน’ ”

19 แล้วชายผู้นั้นพาข้าพเจ้าผ่านทางเข้าที่ข้างประตูสู่ห้องบริสุทธิ์ต่างๆ ซึ่งหันหน้าไปทางเหนือซึ่งเป็นห้องของปุโรหิต และชี้ให้ข้าพเจ้าดูที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ริมสุดด้านตะวันตก

20 เขาบอกข้าพเจ้าว่า “นี่เป็นที่สำหรับปุโรหิตต้มเครื่องบูชาลบความผิดและเครื่องบูชาไถ่บาปและปิ้งธัญบูชา เพื่อจะได้ไม่นำออกไปสู่ลานชั้นนอกและไม่ไปทำให้ประชาชนบริสุทธิ์”

21 แล้วเขาพาข้าพเจ้ามาที่ลานชั้นนอก พาไปดูทั่วมุมทั้งสี่ ที่แต่ละมุมมีลานเล็กๆ อีกลานหนึ่ง

22 ลานเล็กๆ ที่มุมทั้งสี่ของลานชั้นนอกนี้มีผนังล้อมรอบยาว 40 คิวบิท กว้าง 30 คิวบิทแต่ละลานที่มุมทั้งสี่ล้วนมีขนาดเท่ากัน

23 ภายในรอบลานทั้งสี่มีแนวหินและมีเตาสร้างขึ้นภายใต้แนวหินนี้

24 เขาบอกข้าพเจ้าว่า “นี่เป็นโรงครัวที่ให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพระวิหารใช้ต้มเครื่องบูชาของประชาชน”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/46-7bd33e16d548d04279efc96396d1cd50.mp3?version_id=179—

เอเสเคียล 47

แม่น้ำซึ่งไหลจากพระวิหาร

1 ชายผู้นั้นพาข้าพเจ้ากลับมาที่ทางเข้าพระวิหาร และข้าพเจ้าเห็นสายน้ำไหลออกมาจากใต้ธรณีประตูพระวิหารไปทางตะวันออก (เพราะพระวิหารหันหน้าไปทางตะวันออก) น้ำนั้นไหลมาจากด้านใต้ของพระวิหาร ทางใต้ของแท่นบูชา

2 แล้วเขาพาข้าพเจ้าออกมาทางประตูด้านเหนือ พาอ้อมด้านนอกไปยังประตูชั้นนอก ซึ่งหันหน้าไปทางตะวันออก และน้ำนั้นไหลออกมาจากทางทิศใต้

3 ขณะที่เขาผู้นั้นไปทางตะวันออก มีสายวัดอยู่ในมือ วัดได้ 1,000 คิวบิทจากนั้นเขาก็พาข้าพเจ้าลุยน้ำไปซึ่งลึกระดับตาตุ่ม

4 เขาวัดไปอีก 1,000 คิวบิท แล้วพาข้าพเจ้าลุยน้ำซึ่งลึกระดับหัวเข่า เขาวัดอีก 1,000 คิวบิท และพาข้าพเจ้าลุยน้ำซึ่งสูงขึ้นถึงระดับเอว

5 เขาวัดอีก 1,000 คิวบิท คราวนี้เป็นแม่น้ำซึ่งข้าพเจ้าไม่อาจลุยข้ามไปได้ เพราะน้ำลึกพอที่จะว่ายไป แต่ไม่มีใครเดินลุยข้ามแม่น้ำนั้นได้

6 เขาถามข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นสิ่งนี้หรือไม่?”

แล้วเขาพาข้าพเจ้ากลับมาที่ริมฝั่งแม่น้ำนั้น

7 เมื่อข้าพเจ้ามาถึงที่นั่นก็เห็นต้นไม้มากมายที่ตลิ่งทั้งสองฟาก

8 เขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “น้ำนี้ไหลไปยังภูมิภาคตะวันออกลงสู่อาราบาห์และไหลสู่ทะเลตายเมื่อไหลลงทะเลตายก็ทำให้น้ำนั้นเป็นน้ำจืด

9 น้ำนั้นไหลไปที่ไหนก็มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ที่นั่นคลาคล่ำ จะมีปลาอุดมสมบูรณ์เพราะน้ำนี้ไหลไปทำให้น้ำเค็มกลายเป็นน้ำจืด ฉะนั้นที่ซึ่งน้ำนี้ไหลไปจึงมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่

10 ชาวประมงจะยืนอยู่ตามชายฝั่งทะเล จากเอนเกดีถึงเอนเอกลาอิมจะมีที่สำหรับตากอวน จะมีปลาหลากชนิดเหมือนในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

11 แต่ตามห้วยตามหนองน้ำจะไม่เป็นน้ำจืดเพื่อจะได้มีแหล่งเกลือ

12 ไม้ผลทุกชนิดจะขึ้นที่สองฝั่งแม่น้ำ ใบของมันจะไม่เหี่ยวเฉาและผลของมันจะออกตามฤดูกาล มันจะออกผลทุกเดือนเพราะน้ำจากสถานนมัสการไหลมาถึง ผลของมันจะใช้เป็นอาหารและใบของมันใช้รักษาโรค”

เขตแดน

13 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสว่า “ให้เจ้าแบ่งเขตดินแดนสำหรับเป็นกรรมสิทธิ์ในหมู่อิสราเอลสิบสองเผ่าดังนี้ เชื้อสายโยเซฟได้รับสองส่วน

14 เจ้าจงแบ่งให้พวกเขาเท่าๆ กัน ดินแดนนี้จะเป็นมรดกตกทอดสำหรับพวกเจ้า เพราะเราชูมือปฏิญาณยกให้บรรพบุรุษของพวกเจ้า

15 “อาณาเขตดินแดนมีดังนี้

ด้านเหนือจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ไปทางเฮทโลนผ่านเลโบฮามัทไปยังเซดัด

16 เบโรธาห์และสิบราอิม (ซึ่งตั้งอยู่ที่พรมแดนระหว่างดามัสกัสและฮามัท) ไปถึงฮาเซอร์ฮัททิโคนซึ่งอยู่ที่เขตแดนของเฮารัน

17 ฉะนั้นพรมแดนทิศเหนือจะเริ่มจากทะเลถึงฮาซาร์เอนันไปตามพรมแดนด้านเหนือของดามัสกัส กับเขตแดนของฮามัทไปทางเหนือ นี่เป็นอาณาเขตด้านเหนือ

18 อาณาเขตด้านตะวันออก จะเริ่มจากระหว่างเฮารันและดามัสกัส ไปตามแม่น้ำจอร์แดนระหว่างกิเลอาดกับเขตแดนอิสราเอลไปยังทะเลตะวันออกถึงทามาร์นี่เป็นเขตแดนด้านตะวันออก

19 อาณาเขตด้านใต้จากทามาร์ถึงแหล่งน้ำของเมรีบาห์คาเดชแล้วไปตามลำน้ำแห่งอียิปต์ถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นี่เป็นอาณาเขตทางทิศใต้

20 อาณาเขตตะวันตก มีทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นพรมแดน ถึงจุดหนึ่งตรงข้ามกับเลโบฮามัท นี่เป็นอาณาเขตทางทิศตะวันตก

21 “ดินแดนเหล่านี้ เจ้าจงแบ่งกันตามเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล

22 จงแบ่งสรรปันส่วนเพื่อเป็นมรดกตกทอดสำหรับเจ้า ชาวต่างชาติที่มาตั้งรกรากในหมู่พวกเจ้าและมีลูกหลาน เจ้าจงถือว่าเขาเป็นชนอิสราเอลโดยกำเนิดด้วย ให้เขาได้รับที่ดินมรดกตกทอดร่วมกับชนเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล

23 ชาวต่างชาติตั้งรกรากอยู่ในเผ่าไหนก็ให้แบ่งที่ดินมรดกให้เขาด้วย” พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/47-c181bd7b819e87cfd649700be17daf1b.mp3?version_id=179—

เอเสเคียล 48

การแบ่งดินแดน

1 “นี่คือรายชื่อของเผ่าต่างๆ คือที่ชายแดนด้านเหนือ ดานจะได้รับส่วนหนึ่งตามเส้นทางเฮทโลนถึงเลโบฮามัทและฮาซาร์เอนัน และพรมแดนด้านเหนือของดามัสกัส ถัดจากฮามัทจะเป็นส่วนของเขตแดนจากด้านตะวันออกไปด้านตะวันตก

2 “อาเชอร์จะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของดานจากตะวันออกถึงตะวันตก

3 “นัฟทาลีจะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของอาเชอร์จากตะวันออกถึงตะวันตก

4 “มนัสเสห์จะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของนัฟทาลีจากตะวันออกถึงตะวันตก

5 “เอฟราอิมจะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของมนัสเสห์จากตะวันออกถึงตะวันตก

6 “รูเบนจะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของเอฟราอิมจากตะวันออกถึงตะวันตก

7 “ยูดาห์จะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของรูเบนจากตะวันออกถึงตะวันตก

8 “ถัดจากเขตแดนของยูดาห์จากตะวันออกถึงตะวันตกจะเป็นส่วนพิเศษที่เจ้าต้องถวาย ซึ่งมีความกว้าง 25,000 คิวบิทความยาวจากตะวันออกถึงตะวันตกจะเท่ากับส่วนของแต่ละเผ่า สถานนมัสการจะอยู่ที่ศูนย์กลางของส่วนนี้

9 “ส่วนพิเศษซึ่งเจ้าจะต้องถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้านี้ยาว 25,000 คิวบิทและกว้าง 10,000 คิวบิท

10 ต่อไปนี้เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์สำหรับบรรดาปุโรหิต มีความยาววัดขึ้นไปทางเหนือ 25,000 คิวบิท ความกว้างด้านตะวันตก 10,000 คิวบิท ความกว้างด้านตะวันออก 10,000 คิวบิท และความยาวทางทิศใต้ 25,000 คิวบิท โดยมีสถานนมัสการขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นศูนย์กลาง

11 ที่ส่วนนี้สำหรับปุโรหิตเชื้อสายศาโดกที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ซึ่งซื่อสัตย์ในการปรนนิบัติรับใช้เรา ไม่ได้หลงผิดไปเหมือนชนเลวีอื่นๆ เมื่อครั้งชนอิสราเอลหลงไปจากพระเจ้า

12 ที่ส่วนนี้เป็นของขวัญพิเศษซึ่งยกให้แก่พวกเขา เป็นส่วนที่บริสุทธิ์ที่สุดในเขตศักดิ์สิทธิ์ติดกับเขตแดนของชนเลวี

13 “ใกล้กับเขตปุโรหิตนั้น เป็นที่ดินส่วนของชนเลวียาว 25,000 คิวบิท และกว้าง 10,000 คิวบิท ความยาวทั้งหมดของมันจะเป็น 25,000 คิวบิทและกว้าง 10,000 คิวบิท

14 ที่ดินนั้นห้ามซื้อขายหรือแลกเปลี่ยน เป็นผืนดินที่ดีเยี่ยม อย่าให้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นเลย เพราะเป็นที่บริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

15 “ส่วนที่เหลือซึ่งกว้าง 5,000 คิวบิทยาว 25,000 คิวบิท เป็นที่สาธารณประโยชน์ของเมืองนั้น เป็นที่สำหรับบ้านเรือนและทุ่งหญ้า ตัวเมืองอยู่ใจกลาง

16 เมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสคือกว้างยาวด้านละ 4,500 คิวบิท

17 ที่โล่งสำหรับเป็นทุ่งหญ้าอยู่รอบเมือง แต่ละด้านทั้งสี่ทิศมีระยะด้านละ 250 คิวบิท

18 เนื้อที่ที่เหลือติดกับเขตศักดิ์สิทธิ์ ความยาวคู่ขนานกัน วัดทางตะวันออกได้ 10,000 คิวบิท วัดทางตะวันตกได้ 10,000 คิวบิท ผลผลิตที่ได้จากแผ่นดินนี้ใช้เป็นอาหารสำหรับผู้ทำงานในตัวเมือง

19 คนงานจากตัวเมืองที่ทำไร่ไถนาบนที่ดินผืนนี้มาจากอิสราเอลทุกเผ่า

20 ที่ดินส่วนนี้ทั้งหมดจะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวด้านละ 25,000 คิวบิท นี่เป็นของถวายพิเศษที่เจ้าจะกันไว้เป็นส่วนศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับที่ดินของเมืองนี้ด้วย

21 “ส่วนที่เหลืออยู่สองด้านของเขตศักดิ์สิทธิ์และบริเวณของตัวเมืองจะเป็นของเจ้านาย กินเนื้อที่ไปทางตะวันออกจากระยะ 25,000 คิวบิทของเขตศักดิ์สิทธิ์ไปถึงชายแดนตะวันออก และไปทางตะวันตกจากระยะ 25,000 คิวบิทไปยังชายแดนด้านตะวันตก ทั้งสองบริเวณนี้ซึ่งความยาวคู่ขนานกับที่ดินของเผ่าต่างๆ เป็นของเจ้านาย โดยมีเขตศักดิ์สิทธิ์กับสถานนมัสการของพระวิหารอยู่ที่ใจกลาง

22 ฉะนั้นที่ดินของชนเลวี และบริเวณของตัวเมืองจะอยู่ตรงกลางพื้นที่ซึ่งเป็นของเจ้านาย ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเขตแดนของยูดาห์กับของเบนยามิน

23 “สำหรับเผ่าต่างๆ ที่เหลือ เบนยามินจะได้รับส่วนหนึ่ง ที่ดินของเขาจะทอดยาวจากด้านตะวันออกถึงด้านตะวันตก

24 “สิเมโอนจะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของเบนยามินจากตะวันออกถึงตะวันตก

25 “อิสสาคาร์จะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของสิเมโอนจากตะวันออกถึงตะวันตก

26 “เศบูลุนจะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของอิสสาคาร์จากตะวันออกถึงตะวันตก

27 “กาดจะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของเศบูลุนจากตะวันออกถึงตะวันตก

28 “อาณาเขตด้านใต้ของกาด คือจากทามาร์มุ่งลงทางใต้ ถึงห้วงน้ำเมรีบาห์คาเดช แล้วไปตามลำน้ำแห่งอียิปต์ถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

29 “จงแบ่งสรรปันส่วนดินแดนตามนี้แก่เผ่าต่างๆ ของอิสราเอล เพื่อเป็นมรดกตกทอดของเขา และนี่เป็นส่วนของพวกเขา” พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น

ประตูเมือง

30 “ต่อไปนี้เป็นประตูเมืองของนครนั้น เริ่มจากทางเหนือซึ่งยาว 4,500 คิวบิท

31 ประตูต่างๆ ของเมืองนี้ตั้งชื่อตามเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล สามประตูทางด้านเหนือได้แก่ ประตูรูเบน ประตูยูดาห์ และประตูเลวี

32 “ทางด้านตะวันออกซึ่งยาว 4,500 คิวบิท มีสามประตูคือ ประตูโยเซฟ ประตูเบนยามิน และประตูดาน

33 “ทางด้านใต้ซึ่งวัดได้ 4,500 คิวบิท มีสามประตูคือ ประตูสิเมโอน ประตูอิสสาคาร์ และประตูเศบูลุน

34 “ด้านตะวันตกซึ่งยาว 4,500 คิวบิท มีสามประตูคือ ประตูกาด ประตูอาเชอร์ และประตูนัฟทาลี

35 “วัดระยะรอบเมืองได้ 18,000 คิวบิท

“และนับแต่นี้ไปนครนั้นจะได้ชื่อว่า

‘องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตที่นี่’”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/48-e4159e6564561348eace8dbf6637504b.mp3?version_id=179—

เพลงคร่ำครวญ 1

1 โอ กรุงที่เคยมีพลเมืองหนาแน่น

กลับอ้างว้างเสียแล้ว!

กรุงที่เคยยิ่งใหญ่ในหมู่ประชาชาติ

กลับเป็นเหมือนหญิงม่ายเสียแล้ว!

กรุงซึ่งเคยเป็นราชินีในหมู่แว่นแคว้นต่างๆ

กลับตกเป็นทาสเสียแล้ว

2 ยามค่ำคืนเธอร่ำไห้อย่างขมขื่น

น้ำตาไหลอาบแก้ม

ในบรรดาคนรักของเธอ

ไม่มีสักคนที่ปลอบโยนเธอ

สหายทั้งปวงก็ทรยศเธอ

พวกเขากลับกลายเป็นศัตรูของเธอ

3 หลังจากทุกข์ลำเค็ญและกรำงานหนัก

ยูดาห์ก็ตกเป็นเชลย

เธอไปอยู่ท่ามกลางประชาชาติต่างๆ

ไม่พบที่พักพิง

บรรดาผู้ตามล่าเธอก็ไล่ทันเธอ

ในยามที่เธอทุกข์เข็ญ

4 ถนนหนทางสู่ศิโยนคร่ำครวญหวนไห้

เพราะไม่มีใครมางานเทศกาลตามกำหนด

ประตูเมืองทั้งหมดก็เริศร้าง

บรรดาปุโรหิตของเธอทอดถอนใจ

บรรดาหญิงสาวของเธอก็โศกเศร้า

ตัวเธอเองก็ทุกข์ทรมานขมขื่น

5 ศัตรูของเธอกลับกลายเป็นนาย

อริทั้งหลายของเธอเบิกบานสำราญใจ

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำความทุกข์ระทมมาให้เธอ

เพราะบาปมากมายของเธอ

ลูกเล็กเด็กแดงของเธอ

ตกไปเป็นเชลยต่อหน้าศัตรู

6 ความโอ่อ่าตระการทั้งปวง

พรากไปจากธิดาแห่งศิโยนเสียแล้ว

เจ้านายของเธอเป็นเหมือนกวาง

ที่หาทุ่งหญ้าไม่ได้

ต้องหนีไปต่อหน้านักล่า

อย่างอ่อนแรง

7 ในยามทุกข์ลำเค็ญและต้องระหกระเหิน

เยรูซาเล็มก็หวนระลึกถึงสิ่งเลอเลิศ

ที่เธอเคยมีในวันเก่าก่อน

เมื่อพลเมืองของเธอตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู

ไม่มีใครช่วยเหลือเธอ

เหล่าศัตรูมองดูเธอ

และหัวเราะเยาะความย่อยยับของเธอ

8 เยรูซาเล็มได้ทำบาปอย่างใหญ่หลวง

ดังนั้นเธอจึงแปดเปื้อนมลทิน

บรรดาคนที่เคยยกย่องเธอก็เหยียดหยามเธอ

เพราะเห็นความเปลือยเปล่าของเธอ

เธอเองสะอื้นไห้

และหันหน้าหนี

9 ความโสโครกฝังแน่นในอาภรณ์ของเธอ

เธอไม่ใส่ใจอนาคตของเธอ

ความล่มจมของเธอน่าใจหาย

ไม่มีใครปลอบโยนเธอ

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดทอดพระเนตรความทุกข์ลำเค็ญของข้าพระองค์

เพราะศัตรูชนะเสียแล้ว”

10 ศัตรูฉวยสิ่งล้ำค่า

ของเธอไปหมด

เธอเห็นคนต่างชาติบุกเข้ามา

ในสถานนมัสการของเธอ

ล้วนแต่เป็นชนชาติต่างๆ ซึ่งพระองค์สั่งห้าม

ไม่ให้เข้ามาท่ามกลางชุมนุมประชากรของพระองค์

11 พลเมืองของเธอสะอื้นไห้

ขณะเสาะหาอาหาร

เอาของมีค่าออกมาแลกอาหาร

เพื่อประทังชีวิต

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดทอดพระเนตรและทรงใคร่ครวญดูเถิด

เพราะข้าพระองค์ถูกเหยียดหยาม”

12 “พวกท่านที่ผ่านไปผ่านมา ไม่รู้สึกรู้สาอะไรบ้างเลยหรือ?

จงมองไปรอบๆ เถิด

มีความทุกข์ใดบ้างเหมือนทุกข์

ที่เกิดแก่ข้าพเจ้า

ทุกข์ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลแก่ข้าพเจ้าในวันแห่งพระพิโรธอันรุนแรง?

13 “พระองค์ทรงส่งไฟลงมาจากเบื้องบน

ไฟนั้นแผดเผาอยู่ในกระดูกของข้าพเจ้า

พระองค์ทรงวางตาข่ายดักเท้าของข้าพเจ้า

และทำให้ข้าพเจ้าหันกลับ

พระองค์ทรงทิ้งข้าพเจ้าไว้

ให้ระบมไข้และอ่อนระโหยโรยแรงวันยังค่ำ

14 “พระองค์ทรงถักบาปของข้าพเจ้า

เป็นเชือกมัดข้าพเจ้าเข้ากับแอกของการเป็นเชลย

บาปเหล่านั้นอยู่ที่คอของข้าพเจ้า

และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้กำลังวังชาของข้าพเจ้าเหือดหาย

พระองค์ทรงมอบข้าพเจ้าไว้ในมือของคนเหล่านั้น

ซึ่งข้าพเจ้าไม่อาจต่อกรได้

15 “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทอดทิ้งนักรบทั้งปวง

ที่อยู่ท่ามกลางข้าพเจ้า

พระองค์ทรงระดมพลมาต่อสู้ข้าพเจ้า

เพื่อบดขยี้พวกคนหนุ่มของข้าพเจ้า

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเหยียบย่ำธิดาพรหมจารีแห่งยูดาห์

ดั่งองุ่นในบ่อย่ำองุ่น

16 “ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงร่ำไห้

น้ำตาหลั่งริน

ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ คอยปลอบโยน

ไม่มีใครช่วยกู้ดวงวิญญาณของข้าพเจ้า

ลูกๆ ของข้าพเจ้าสิ้นเนื้อประดาตัว

เพราะศัตรูชนะเขา”

17 ศิโยนยื่นมือออก

แต่ไม่มีใครปลอบโยนเธอ

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชายาโคบไว้แล้วว่า

ให้เพื่อนบ้านของเขากลายเป็นศัตรู

เยรูซาเล็มกลายเป็น

ของโสโครกในหมู่พวกเขา

18 “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชอบธรรม

กระนั้นข้าพเจ้าก็กบฏต่อพระบัญชาของพระองค์

ฟังเถิด ประชาชาติทั้งปวง

จงมองดูความทุกข์ลำเค็ญของข้าพเจ้า

คนหนุ่มสาวของข้าพเจ้า

ตกไปเป็นเชลย

19 “ข้าพเจ้าร้องเรียกบรรดาพันธมิตรของข้าพเจ้า

แต่พวกเขาก็ทรยศหักหลังข้าพเจ้า

บรรดาปุโรหิตและผู้อาวุโสทั้งหลายของข้าพเจ้า

พินาศย่อยยับในกรุง

ขณะพวกเขาค้นหาอาหาร

เพื่อประทังชีวิต

20 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดทอดพระเนตรเถิด

ว่าข้าพระองค์ทุกข์ยากมากเพียงไร!

จิตใจร้อนรุ่ม ดวงใจสับสนวุ่นวายอยู่ภายใน

เพราะข้าพระองค์ได้กบฏอย่างที่สุด

นอกบ้านมีแต่คมดาบคร่าชีวิตลูกหลาน

ในบ้านมีแต่ความตาย

21 “ผู้คนได้ยินเสียงครวญครางของข้าพระองค์

แต่ไม่มีใครปลอบโยนข้าพระองค์

ศัตรูทั้งปวงได้ยินถึงความทุกข์ยากลำเค็ญของข้าพระองค์

ก็กระหยิ่มลิงโลดในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำ

ขอทรงนำวันนั้นที่ทรงประกาศไว้มาถึง

เพื่อพวกเขาจะได้เป็นเหมือนข้าพระองค์

22 “ขอให้ความชั่วร้ายของพวกเขามาอยู่ต่อหน้าพระองค์

ขอทรงจัดการกับพวกเขา

อย่างที่พระองค์ได้ทรงจัดการกับข้าพระองค์

เพราะบาปทั้งสิ้นของข้าพระองค์

เสียงครวญครางของข้าพระองค์มากมายนัก

และดวงใจของข้าพระองค์อ่อนระโหยไป”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/LAM/1-48f37751fcab180e61bea7c55890b0eb.mp3?version_id=179—

เพลงคร่ำครวญ 2

1 โอ เมฆแห่งพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ปกคลุมเหนือธิดาแห่งศิโยน!

พระองค์ทรงเหวี่ยงความโอ่อ่าตระการของอิสราเอล

จากฟ้าลงดิน

ในวันแห่งพระพิโรธ

พระองค์ไม่ได้ทรงระลึกถึงแท่นรองพระบาทของพระองค์

2 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำลาย

ที่อาศัยทุกแห่งของยาโคบอย่างไร้ความปรานี

พระองค์ทรงทลายที่มั่นทั้งหลายของธิดาแห่งยูดาห์

ด้วยพระพิโรธของพระองค์

ทรงนำอาณาจักรและเหล่าเจ้านายของยูดาห์

ตกต่ำลงมาถึงดินอย่างน่าอัปยศอดสู

3 พระองค์ทรงล้มล้างอำนาจทั้งสิ้นของอิสราเอล

ด้วยพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์

พระองค์ทรงเพิกถอนการปกป้องรักษา

เมื่อศัตรูรุกเข้ามาโจมตี

ทรงเผาผลาญยาโคบเหมือนเปลวไฟลุกโชน

ซึ่งแผดเผาทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ มัน

4 พระองค์ทรงน้าวคันศรเหมือนทรงเป็นศัตรู

พระหัตถ์ขวาของพระองค์เตรียมพร้อมจะปล่อยลูกศร

ทรงประหารทุกคนผู้เป็นที่ชื่นตาชื่นใจ

เหมือนทรงเป็นศัตรู

ทรงระบายพระพิโรธเหมือนไฟ

แผดเผาเต็นท์ของธิดาแห่งศิโยน

5 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นเหมือนศัตรู

พระองค์ทรงกลืนกินอิสราเอลให้สิ้นไป

ทรงกวาดล้างปราสาทราชวัง

และทรงทำลายที่มั่นต่างๆ ในอิสราเอล

ทรงทำให้การร้องไห้คร่ำครวญทวีเพิ่มขึ้น

สำหรับธิดาแห่งยูดาห์

6 พระองค์ทรงทิ้งที่ประทับของพระองค์ให้รกร้างดั่งสวนร้าง

ทรงทำลายสถานนมัสการของพระองค์

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ศิโยนหลงลืม

เทศกาลตามกำหนดและสะบาโตทั้งหลาย

พระองค์ทรงเขี่ยทั้งกษัตริย์และปุโรหิตทิ้ง

ด้วยพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์

7 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิเสธแท่นบูชา

และทอดทิ้งสถานนมัสการของพระองค์

พระองค์ทรงมอบกำแพงปราสาทราชวัง

ไว้ในมือของศัตรู

เหล่าศัตรูส่งเสียงโห่ร้องในพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ราวกับวันฉลองตามเทศกาล

8 องค์พระผู้เป็นเจ้าตั้งพระทัย

ที่จะทลายกำแพงล้อมรอบธิดาแห่งศิโยน

พระองค์ทรงพิจารณาโทษอย่างถี่ถ้วน

ไม่ได้ทรงยั้งพระหัตถ์จากการทำลายล้าง

ทรงทำให้เชิงเทินและกำแพง

พังทลายไปด้วยกันต่อหน้าพระองค์

9 ประตูทั้งหลายของเยรูซาเล็มทรุดจมดิน

ลูกกรงประตูทั้งหลายหักทลาย

กษัตริย์และบรรดาเจ้านายตกเป็นเชลยในชาติต่างๆ

บทบัญญัติสูญสิ้นไปแล้ว

และผู้เผยพระวจนะทั้งหลายไม่ได้รับนิมิต

จากองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกต่อไป

10 เหล่าผู้อาวุโสของเยรูซาเล็ม

นั่งซึมอยู่ที่พื้นท่ามกลางความเงียบสงัด

โปรยฝุ่นธุลีบนศีรษะ

และนุ่งห่มผ้ากระสอบ

บรรดาหญิงสาวแห่งเยรูซาเล็ม

ซบหน้าลงกับพื้นด้วยความอับอาย

11 นัยน์ตาของข้าพเจ้าหมองช้ำเพราะการร้องไห้

ข้าพเจ้าทุกข์ระทมอยู่ภายใน

ดวงใจของข้าพเจ้าแหลกสลาย

เพราะพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้าถูกทำลาย

เพราะลูกเล็กเด็กแดงเป็นลม

อยู่ตามถนนหนทางในเมือง

12 “แม่จ๋า ไหนล่ะอาหาร?”

เด็กๆ เอ่ยกับแม่

ขณะหมดแรง

เหมือนคนบาดเจ็บกลางถนน

ขณะชีวิตหลุดลอยไป

จากอ้อมอกแม่

13 ธิดาแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย

เราจะพูดอะไรเพื่อเจ้าได้?

เราจะเปรียบเจ้ากับอะไรหนอ?

ธิดาพรหมจารีแห่งศิโยนเอ๋ย

เราจะเทียบเจ้ากับสิ่งใดดี

เพื่อจะปลอบโยนเจ้าได้?

บาดแผลของเจ้าลึกดั่งทะเล

ใครเล่าจะเยียวยารักษาเจ้าได้?

14 นิมิตของเหล่าผู้เผยพระวจนะของเจ้า

ล้วนจอมปลอมไร้ค่า

พวกเขาไม่ได้ตีแผ่บาปของเจ้า

ทำให้เจ้าต้องตกเป็นเชลยต่อไป

พระดำรัสที่พวกเขาแจ้งเจ้านั้น

จอมปลอมและพาให้หลงผิด

15 คนทั้งปวงที่ผ่านไปมา

ตบมือเยาะเย้ยเจ้า

พวกเขาถากถางและส่ายศีรษะ

สมเพชธิดาแห่งเยรูซาเล็มว่า

“นี่น่ะหรือกรุงที่ได้รับการขนานนาม

ว่างามเพียบพร้อม

เป็นความชื่นชมยินดีของคนทั้งโลก?”

16 ศัตรูทั้งปวงของเจ้า

อ้าปากเย้ยหยันเจ้า

ส่งเสียงเยาะเย้ย ยิงฟันใส่

และกล่าวว่า “ในที่สุดเราก็ทำลายเจ้าลงได้

นี่เป็นวันที่เรารอคอยมานาน

เราอยู่มาจนได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น”

17 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำตามที่ดำริไว้

ทรงทำให้สำเร็จตามที่ลั่นวาจาไว้

ซึ่งพระองค์มีประกาศิตไว้เมื่อนานมาแล้ว

พระองค์ทรงล้มเจ้าลงโดยไม่ปรานี

ทรงยอมให้ศัตรูลิงโลดอยู่เหนือเจ้า

พระองค์ทรงเชิดชูพลังของศัตรูของเจ้า

18 จิตใจของพวกเขา

ร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า

ปราการของธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย

ให้น้ำตาของเจ้าหลั่งไหลดั่งแม่น้ำ

ตลอดทั้งวันทั้งคืน

อย่าได้หยุดหย่อน

อย่าให้ตาของเจ้าได้พักเลย

19 จงลุกขึ้นร่ำไห้ในยามค่ำคืน

ตั้งแต่เริ่มมืด

จงระบายความในใจของเจ้าออกมาเหมือนสายน้ำ

ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า

จงชูมือขึ้นอ้อนวอนพระองค์

เพื่อชีวิตลูกเล็กเด็กแดงทั้งหลายของเจ้า

ซึ่งเป็นลมไปเพราะความหิวโหย

อยู่ทุกหัวถนน

20 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงทอดพระเนตรและใคร่ครวญเถิด

พระองค์ทรงเคยทำเช่นนี้แก่ใครบ้าง?

ควรหรือที่คนเป็นแม่จะกินเลือดเนื้อเชื้อไขของตน

คือบรรดาลูกในไส้ที่ตนฟูมฟักเลี้ยงดูมา?

ควรหรือที่ปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะจะถูกฆ่า

ในสถานนมัสการขององค์พระผู้เป็นเจ้า?

21 “ทั้งคนหนุ่มคนแก่ทั้งหลาย

นอนคลุกฝุ่นอยู่ด้วยกันกลางถนน

คนหนุ่มคนสาวของข้าพระองค์

ล้มตายด้วยคมดาบ

พระองค์ทรงประหารพวกเขาในวันแห่งพระพิโรธ

ทรงเข่นฆ่าพวกเขาโดยไม่ปรานี

22 “พระองค์ทรงระดมความอกสั่นขวัญแขวนรอบด้านเข้าใส่ข้าพระองค์

เหมือนเกณฑ์คนมาในวันงานเลี้ยงตามเทศกาล

ในวันแห่งพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ไม่มีใครหนีรอดหรือรอดชีวิตไปได้เลยแม้สักคนเดียว

ศัตรูของข้าพระองค์ได้ทำลายล้าง

บรรดาผู้ที่ข้าพระองค์ฟูมฟักเลี้ยงดูมา”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/LAM/2-079c2b7422894e30371e1789bb8b51a0.mp3?version_id=179—

เพลงคร่ำครวญ 3

1 ข้าพเจ้าคือผู้ที่เห็นความทุกข์ลำเค็ญ

จากไม้เรียวแห่งพระพิโรธของพระองค์

2 พระองค์ทรงขับไล่ข้าพเจ้าออกมาเดิน

ในความมืดมนแทนที่จะเดินในความสว่าง

3 อันที่จริงพระองค์ทรงหันมาเล่นงานข้าพเจ้า

ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดวันคืน

4 พระองค์ทรงกระทำให้เนื้อและหนังของข้าพเจ้าเหี่ยวย่นไป

ทรงหักกระดูกของข้าพเจ้า

5 พระองค์ทรงล้อมกรอบข้าพเจ้าไว้

ด้วยความขมขื่นและความทุกข์ลำเค็ญ

6 พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าอยู่ในความมืด

เหมือนคนที่ตายไปนานแล้ว

7 พระองค์ทรงล้อมข้าพเจ้าไว้ไม่ให้หนีไปได้

พระองค์ทรงถ่วงข้าพเจ้าด้วยโซ่ตรวน

8 แม้เมื่อข้าพเจ้าทูลวิงวอนขอความช่วยเหลือ

พระองค์ไม่ทรงรับฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้า

9 พระองค์ทรงวางศิลากั้นทางของข้าพเจ้า

ทรงทำให้หนทางของข้าพเจ้าคดเคี้ยว

10 พระองค์ทรงเป็นดั่งหมีที่คอยตะครุบ

ดั่งสิงโตที่ซุ่มอยู่

11 พระองค์ทรงลากข้าพเจ้าออกจากทางและฉีกข้าพเจ้าเป็นชิ้นๆ

แล้วทิ้งข้าพเจ้าโดยไม่มีใครมาช่วย

12 พระองค์ทรงโก่งคันธนู

เล็งข้าพเจ้าเป็นเป้า

13 ลูกธนูจากแล่งธนูของพระองค์

เสียบทะลุหัวใจของข้าพเจ้า

14 ข้าพเจ้าตกเป็นขี้ปากให้พี่น้องร่วมชาติหัวเราะเยาะ

เขาร้องเพลงล้อเลียนข้าพเจ้าวันยังค่ำ

15 พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้ากินผักรสขมจนอิ่ม

และทำให้ข้าพเจ้าเข็ดขมด้วยบอระเพ็ด

16 พระองค์ทรงเลาะฟันของข้าพเจ้าด้วยกรวด

ทรงเหยียบย่ำข้าพเจ้าจมฝุ่นธุลี

17 สันติสุขถูกพรากไปจากใจของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าลืมไปแล้วว่าความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างไร

18 ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า “ศักดิ์ศรีของข้าพเจ้าสูญสิ้นเสียแล้ว

และทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าคาดหวังจากองค์พระผู้เป็นเจ้าก็พังทลาย”

19 โปรดระลึกถึงความทุกข์ลำเค็ญและการระหกระเหินของข้าพเจ้า

ระลึกถึงความขมขื่นและบอระเพ็ดที่ข้าพเจ้าได้รับ

20 ข้าพเจ้าจดจำสิ่งเหล่านี้ได้ดี

และจิตใจของข้าพเจ้าก็หดหู่อยู่ภายใน

21 ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็หวนคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้

ข้าพเจ้าจึงมีความหวัง

22 เพราะความรักใหญ่หลวงขององค์พระผู้เป็นเจ้าเราจึงไม่ถูกผลาญทำลายไป

เพราะพระเมตตาของพระองค์ไม่เคยยั้งหยุด

23 มีมาใหม่ทุกเช้า

ความซื่อสัตย์ของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก

24 ข้าพเจ้ากล่าวกับตนเองว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นทั้งหมดที่ข้าพเจ้ามี

ฉะนั้นข้าพเจ้าจะรอคอยพระองค์”

25 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดีต่อผู้ที่ฝากความหวังไว้กับพระองค์

ทรงดีต่อผู้ที่แสวงหาพระองค์

26 เป็นการดีที่จะสงบรอคอย

ความรอดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทาน

27 เป็นการดีที่คนเราจะแบกแอกไว้

ขณะยังหนุ่มสาว

28 ให้เขานั่งเงียบๆ อยู่แต่ลำพัง

เพราะพระองค์ทรงวางแอกนั้นไว้บนเขา

29 ให้เขาจำนนซบหน้าลงกับดิน

เพราะอาจยังมีความหวัง

30 ให้เขาเอียงแก้มให้ผู้ที่จะตบเขา

และให้เขายอมรับความอัปยศอดสู

31 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า

ไม่ได้ทรงทอดทิ้งมนุษย์ตลอดไป

32 แม้พระองค์ทรงให้เกิดความทุกข์โศก แต่ก็ยังจะทรงสำแดงความเมตตาสงสาร

ตามความรักมั่นคงอันใหญ่หลวงของพระองค์

33 เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงเต็มพระทัยที่จะให้เกิดความทุกข์ทรมาน

หรือความโศกเศร้าแก่มนุษย์ทั้งหลาย

34 การเหยียบย่ำ

นักโทษทั้งปวงในดินแดน

35 การตัดสิทธิ์ผู้หนึ่งผู้ใด

ต่อหน้าองค์ผู้สูงสุด

36 การไม่ให้ความยุติธรรมแก่ผู้หนึ่งผู้ใด

องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงเห็นสิ่งเหล่านี้หรือ?

37 หากองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้มีประกาศิตไว้

ผู้ใดเล่าจะสั่งให้มันเกิดขึ้นได้?

38 ทั้งหายนะและสิ่งดีงาม

ล้วนมาจากพระโอษฐ์ขององค์ผู้สูงสุดไม่ใช่หรือ?

39 ควรหรือที่มนุษย์จะบ่น

เมื่อถูกลงโทษเพราะบาปทั้งหลายของตน?

40 ให้เราสำรวจตรวจตราวิถีทางของเราเอง

และให้เรากลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า

41 ให้เราชูใจและชูมือขึ้นอธิษฐาน

ต่อพระเจ้าในสวรรค์และกล่าวว่า

42 “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำบาปและได้กบฏ

และพระองค์ไม่ได้ทรงให้อภัย

43 “พระองค์ทรงคลุมพระองค์เองไว้ด้วยพระพิโรธและทรงตามล่าข้าพระองค์ทั้งหลาย

พระองค์ทรงประหารโดยไม่ปรานี

44 พระองค์ทรงคลุมพระองค์เองไว้ด้วยเมฆ

เพื่อไม่ให้คำอธิษฐานใดๆ ขึ้นถึงพระองค์ได้

45 พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นกากเดนและเศษขยะ

ในหมู่ประชาชาติ

46 “ศัตรูทั้งปวงของพวกข้าพระองค์

เปิดปากว่าร้ายพวกข้าพระองค์

47 พวกข้าพระองค์เผชิญความน่าสะพรึงกลัว

การหลอกลวงและความพินาศย่อยยับ”

48 ธารน้ำตาไหลหลั่งจากตาของข้าพเจ้า

เพราะพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้าถูกทำลาย

49 ข้าพเจ้าจะหลั่งน้ำตาไม่ขาดสาย

ไม่หยุดหย่อน

50 จนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทอดพระเนตร

จากฟ้าสวรรค์ลงมาเหลียวแล

51 สิ่งที่เห็นทำให้จิตใจของข้าพเจ้าทุกข์ระทม

เพราะหญิงทุกคนในเมืองของข้าพเจ้า

52 บรรดาผู้ที่เป็นศัตรูกับข้าพเจ้าโดยไม่มีสาเหตุ

ตามล่าข้าพเจ้าเหมือนล่านก

53 พวกเขามุ่งปลิดชีวิตของข้าพเจ้าในบ่อ

และขว้างก้อนหินใส่ข้าพเจ้า

54 น้ำไหลท่วมมิดศีรษะของข้าพเจ้า

จนข้าพเจ้าคิดว่าตัวเองถึงจุดจบแล้ว

55 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ร้องเรียกพระนามของพระองค์

จากก้นบ่อ

56 พระองค์ทรงได้ยินข้าพระองค์อ้อนวอนว่า “ขออย่าทรงปิดพระกรรณ

จากคำร้องทูลขอการบรรเทาของข้าพระองค์”

57 พระองค์เสด็จมาใกล้เมื่อข้าพระองค์ร้องเรียกพระองค์

และตรัสว่า “อย่ากลัวเลย”

58 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงรับคดีความของข้าพระองค์

ทรงไถ่ชีวิตของข้าพระองค์

59 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงเห็นการร้ายที่เขาทำแก่ข้าพระองค์

ขอทรงให้ความเป็นธรรมแก่ข้าพระองค์!

60 พระองค์ทรงเห็นแผนแก้แค้นอันลึกล้ำของพวกเขา

สิ่งทั้งปวงที่พวกเขาคบคิดกันต่อสู้ข้าพระองค์

61 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงได้ยินคำสบประมาทของพวกเขาแล้ว

สิ่งทั้งปวงที่พวกเขาคบคิดกันต่อสู้ข้าพระองค์

62 สิ่งที่เหล่าศัตรูซุบซิบพึมพำ

ว่าร้ายข้าพระองค์ตลอดทั้งวัน

63 โปรดทอดพระเนตรพวกเขา! จะลุกเหินเดินนั่ง

พวกเขาก็ร้องเพลงถากถางข้าพระองค์

64 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงคืนสนองพวกเขาอย่างสาสม

ตามสิ่งที่มือของพวกเขาได้ทำ

65 ขอทรงคลี่ผ้าคลุมใจของพวกเขา

ขอให้คำสาปแช่งของพระองค์ตกแก่พวกเขา!

66 ขอทรงรุกไล่พวกเขาด้วยพระพิโรธและทำลายล้างพวกเขา

จากภายใต้ฟ้าสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/LAM/3-088df1e2905e75e065a169b40187dbf4.mp3?version_id=179—

เพลงคร่ำครวญ 4

1 ทองคำหมดความสุกปลั่งเสียแล้วหนอ

ทองบริสุทธิ์มัวหมองไปเสียแล้ว!

อัญมณีศักดิ์สิทธิ์กระจัดกระจายเกลื่อนกลาด

อยู่ทุกหัวถนน

2 เหตุใดบรรดาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแห่งศิโยนซึ่งเคยสูงค่าเทียบทองเนื้อเก้า

จึงถูกตีราคาเพียงหม้อดิน

ฝีมือช่างปั้น!

3 แม้หมาในยังให้นม

ฟูมฟักลูกของมัน

แต่พี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้ากลับใจไม้ไส้ระกำ

เหมือนนกกระจอกเทศในทะเลทราย

4 ทารกลิ้นแห้งคับเพดานปาก

เพราะความหิวกระหาย

เด็กๆ ร้องขออาหาร

แต่ไม่มีใครหยิบยื่นให้

5 บรรดาผู้ที่เคยกินอาหารชั้นเลิศ

บัดนี้สิ้นเนื้อประดาตัวอยู่ตามถนน

บรรดาผู้ที่เคยนุ่งห่มอาภรณ์สีม่วงล้ำค่า

บัดนี้นอนคลุกกองขี้เถ้า

6 โทษทัณฑ์ของพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้า

ใหญ่หลวงกว่าโทษทัณฑ์ของโสโดม

ซึ่งถูกคว่ำทลายในชั่วพริบตา

โดยไม่มีใครยื่นมือเข้าไปช่วย

7 บรรดาเจ้าใหญ่นายโตของเราผุดผ่องยิ่งกว่าหิมะ

ขาวยิ่งกว่าน้ำนม

ร่างกายของพวกเขาเปล่งปลั่งยิ่งกว่าทับทิม

รูปร่างหน้าตาสง่างามดั่งอัญมณี

8 แต่บัดนี้ผิวพรรณของพวกเขาหมองคล้ำยิ่งกว่าเขม่า

เขาอยู่ตามถนนโดยไม่มีใครจำได้

หนังของเขาเหี่ยวหุ้มกระดูก

ซูบผอมราวไม้เสียบผี

9 บรรดาคนที่ถูกปลิดชีวิตด้วยคมดาบ

ก็ยังดีกว่าคนที่ตายเพราะความอดอยาก

ทุกข์ทรมานเพราะความหิวโหย

ตายไปอย่างช้าๆ เพราะขาดธัญญาหาร

10 บรรดาหญิงผู้มีใจอ่อนโยน

จับลูกในไส้มาต้มกิน

ในช่วงที่ชนชาติของเรา

ถูกทำลายล้าง

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงระบาย

พระพิโรธอันรุนแรงออกมาเต็มที่

ทรงจุดไฟขึ้นในศิโยน

เผาผลาญฐานรากทั้งหลายของเมืองนี้จนวอดวาย

12 ไม่มีกษัตริย์องค์ไหน

ไม่มีชนชาติใดทั่วโลกนี้เชื่อว่า

ข้าศึกศัตรูจะสามารถล่วงล้ำ

ผ่านประตูเยรูซาเล็มเข้ามาได้

13 แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว เพราะบาปของเหล่าผู้เผยพระวจนะ

และความชั่วช้าของเหล่าปุโรหิต

ซึ่งทำให้โลหิตของคนชอบธรรม

ไหลนองอยู่กลางกรุง

14 บัดนี้พวกเขาเดินคลำสะเปะสะปะไปตามถนน

เหมือนคนตาบอด

เนื้อตัวแปดเปื้อนเลือด

จนไม่มีใครกล้าแตะต้องเสื้อผ้าของพวกเขา

15 ผู้คนตะโกนใส่พวกเขาว่า “ไปให้พ้นนะ! เจ้าคนมีมลทิน!

ไปให้พ้น ไปให้พ้น อย่ามาถูกเนื้อต้องตัวเรา!”

เมื่อเขาหนีร่อนเร่ไป

ผู้คนท่ามกลางประชาชาติต่างๆ บอกกันว่า

“เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้”

16 องค์พระผู้เป็นเจ้านี่แหละทรงกระจายพวกเขาไป

พระองค์ไม่ทรงดูแลพวกเขาอีก

เหล่าปุโรหิตไม่เป็นที่เคารพนับถือ

เหล่าผู้อาวุโสไม่เป็นที่ชื่นชอบ

17 ยิ่งกว่านั้นตาของเราอ่อนล้า

ในการเสาะหาความช่วยเหลืออย่างเปล่าประโยชน์

เราเฝ้ามองจากหอคอย

หาชนชาติหนึ่งซึ่งช่วยเหลืออะไรเราไม่ได้

18 ผู้คนสะกดรอยตามเราทุกฝีก้าว

จนเราเดินไปตามถนนของเราไม่ได้

จุดจบของเราใกล้เข้ามา วันเวลาของเราใกล้จะครบกำหนด

เพราะจุดจบของเรามาถึงแล้ว

19 คนที่ตามล่าเราว่องไว

ยิ่งกว่านกอินทรีในท้องฟ้า

พวกเขารุกไล่เราบนภูเขาต่างๆ

และซุ่มดักเราอยู่ในถิ่นกันดาร

20 เจ้าชีวิตของเราผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเจิมตั้งไว้นั้น

ติดอยู่ในกับดักของพวกเขา

เราเคยคิดว่าใต้ร่มบารมีของกษัตริย์

เราจะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางชนชาติต่างๆ

21 ธิดาแห่งเอโดมเอ๋ย ผู้อาศัยในดินแดนอูส

กระหยิ่มยิ้มย่องไปเถิด

แต่ถ้วยแห่งพระพิโรธก็จะเวียนไปถึงเจ้าเช่นกัน

เจ้าจะเมามายและเปลือยล่อนจ้อน

22 ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย โทษทัณฑ์ของเจ้าจะจบสิ้น

พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้เจ้าตกเป็นเชลยอยู่ช้านาน

แต่ธิดาแห่งเอโดมเอ๋ย พระองค์จะทรงลงโทษบาปของเจ้า

และเปิดโปงความชั่วร้ายของเจ้า

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/LAM/4-c31c7eb1d8693aca2a046f4f77be935a.mp3?version_id=179—