เอเสเคียล 3

1 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกินหนังสือม้วนซึ่งอยู่ตรงหน้าเจ้านี้ แล้วไปกล่าวแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล”

2 ข้าพเจ้าจึงอ้าปาก พระองค์ก็ประทานหนังสือม้วนให้ข้าพเจ้ากิน

3 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกินหนังสือม้วนที่เรามอบแก่เจ้านี้ให้เต็มท้อง” ข้าพเจ้าก็กิน หนังสือนั้นมีรสหวานเหมือนน้ำผึ้งในปากของข้าพเจ้า

4 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย บัดนี้จงไปหาพงศ์พันธุ์อิสราเอล และกล่าวถ้อยคำของเราให้พวกเขาฟัง

5 เราไม่ได้ส่งเจ้าไปหาชนชาติที่พูดภาษายากๆ และเจ้าฟังไม่เข้าใจ แต่ให้ไปหาชนชาติอิสราเอล

6 เราไม่ได้ส่งเจ้าไปหาชนชาติต่างๆ ที่พูดภาษายากๆ และเจ้าฟังไม่เข้าใจ แน่ทีเดียว หากเราส่งเจ้าไปหาคนพวกนั้น พวกเขายังจะรับฟัง

7 ส่วนพงศ์พันธุ์อิสราเอลจะไม่ยอมฟังเจ้าเพราะพวกเขาไม่เต็มใจจะฟังเรา เนื่องจากพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดนั้นใจแข็งดื้อด้าน

8 แต่เราจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งและมุ่งมั่นพอๆ กับพวกเขา

9 เราจะทำให้หน้าผากของเจ้าเหมือนหินผาที่แข็งแกร่งที่สุดและแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินเหล็กไฟ อย่ากลัวหรืออย่าขวัญผวาเพราะพวกเขา แม้ว่าพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ชอบกบฏ”

10 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงตั้งใจฟังให้ดีและจงจดจำทุกถ้อยคำที่เรากล่าวแก่เจ้าให้ขึ้นใจ

11 บัดนี้จงไปหาพี่น้องร่วมชาติของเจ้าที่ตกเป็นเชลยอยู่ และจงกล่าวกับพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้’ จงพูดกับพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะฟังหรือไม่ก็ตาม”

12 แล้วพระวิญญาณทรงยกข้าพเจ้าขึ้น และข้าพเจ้าได้ยินเสียงกระหึ่มจากทางด้านหลังของข้าพเจ้าว่า “ขอพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นที่สรรเสริญยกย่องในที่ประทับของพระองค์!”

13 มีเสียงปีกกระทบกันของสิ่งมีชีวิตทั้งสี่นั้น และเสียงวงล้อที่อยู่ข้างตัวดังกระหึ่ม

14 แล้วพระวิญญาณทรงยกข้าพเจ้าขึ้นและพาไป ข้าพเจ้าขมขื่นและโกรธเคืองในจิตใจ พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าหนักอยู่เหนือข้าพเจ้า

15 ข้าพเจ้ามาถึงเหล่าเชลยซึ่งอาศัยอยู่ที่เทลอาบิบใกล้แม่น้ำเคบาร์ ข้าพเจ้านั่งอยู่ที่นั่นในหมู่พวกเขา ในที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่และอัดอั้นตันใจอยู่ตลอดเจ็ดวัน

คำเตือนอิสราเอล

16 เมื่อครบเจ็ดวัน พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า

17 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เราได้แต่งตั้งเจ้าให้เป็นยามสำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล ฉะนั้นจงฟังถ้อยคำที่เรากล่าว แล้วแจ้งคำเตือนของเราแก่พวกเขา

18 เมื่อเราบอกคนชั่วว่า ‘เจ้าจะต้องตายแน่’ และเจ้าไม่ไปเตือนเขาหรือพูดชักชวนเขาให้ออกจากทางชั่วเพื่อช่วยชีวิตเขา คนชั่วคนนั้นก็จะตายเพราะบาปของตน และเราจะให้เจ้ารับผิดชอบที่เขาต้องตาย

19 แต่หากเจ้าเตือนคนชั่วนั้นแล้ว และเขาไม่ยอมหันจากความชั่วหรือเลิกทำผิด เขาก็จะตายเพราะบาปของตน แต่ตัวเจ้าจะช่วยตัวเองให้รอด

20 “และเมื่อคนชอบธรรมหันจากความชอบธรรมไปทำชั่ว เราจะวางสิ่งที่ทำให้สะดุดไว้ตรงหน้าเขา แล้วเขาจะตาย เนื่องจากเจ้าไม่ได้เตือนเขา เขาจะตายเพราะบาปของตน เราจะไม่จดจำความชอบธรรมของเขา และเราจะให้เจ้ารับผิดชอบที่เขาต้องตาย

21 แต่หากเจ้าเตือนคนชอบธรรมไม่ให้ทำบาปและเขาก็ไม่ทำบาป เขาย่อมจะมีชีวิตอยู่เพราะรับฟังคำเตือน และเจ้าก็ได้ช่วยชีวิตตัวเองให้รอด”

22 พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือข้าพเจ้าที่นั่น และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงลุกขึ้นและออกไปยังที่ราบ เราจะพูดกับเจ้าที่นั่น”

23 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นและออกไปยังที่ราบนั้น พระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่นั่น เช่นเดียวกับพระเกียรติสิริซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์และข้าพเจ้าก็หมอบกราบซบหน้าลงถึงดิน

24 แล้วพระวิญญาณเสด็จเข้ามาในตัวข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ายืนขึ้น พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ไปเถิด จงขังตัวเองอยู่ในบ้านของเจ้า

25 แล้วบุตรมนุษย์เอ๋ย พวกเขาจะใช้เชือกมัดเจ้า เจ้าจึงไม่สามารถไปไหนมาไหนในหมู่ประชากรได้

26 เราจะทำให้ลิ้นของเจ้าคับติดเพดานปาก เพื่อเจ้าจะนิ่งใบ้และไม่อาจว่ากล่าวตักเตือนพวกเขา แม้พวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ชอบกบฏ

27 แต่เมื่อเรากล่าวกับเจ้า เราจะเปิดปากเจ้าและเจ้าจะกล่าวกับพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้’ ใครที่รับฟังก็ให้รับฟังไป ใครจะปฏิเสธก็ปฏิเสธไป เพราะพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ชอบกบฏ

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/3-f2eeec2dfeaabff590678dea6d400ae0.mp3?version_id=179—

เอเสเคียล 4

สัญลักษณ์ของการล้อมกรุงเยรูซาเล็ม

1 “บัดนี้ บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเอาดินเหนียวแผ่นหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้าเจ้า และวาดกรุงเยรูซาเล็มลงบนดินนั้น

2 แล้วจงล้อมรอบแผ่นดินเหนียวนั้นด้วยอุปกรณ์ที่ใช้ล้อมเมือง ก่อเชิงเทิน ตั้งค่ายประชิดเมือง และวางเครื่องกระทุ้งโดยรอบ

3 แล้วเอากระทะเหล็กมาตั้งเป็นเสมือนกำแพงเหล็กกั้นระหว่างเจ้ากับตัวเมือง จงหันหน้าเข้าหาเมืองนั้น เมืองนั้นจะตกอยู่ในวงล้อมของเจ้า นี่เป็นหมายสำคัญแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล

4 “จากนั้นจงนอนตะแคงซ้าย แบกรับบาปของพงศ์พันธุ์อิสราเอลไว้บนเจ้าตลอดจำนวนวันที่เจ้านอนตะแคง

5 เรากำหนดวันให้เจ้าตามจำนวนปีของความบาปของพวกเขา ฉะนั้นเจ้าจะแบกบาปของ พงศ์พันธุ์อิสราเอลอยู่ 390 วัน

6 “เมื่อครบกำหนดแล้ว เจ้าต้องนอนลงอีก คราวนี้ให้นอนตะแคงขวาและแบกรับบาปของพงศ์พันธุ์ยูดาห์ เรากำหนดไว้สี่สิบวัน หนึ่งวันสำหรับหนึ่งปี

7 จงหันหน้าเข้าหาเครื่องล้อมกรุงเยรูซาเล็ม จงชูแขนอันเปลือยเปล่าใส่กรุงนั้นแล้วพยากรณ์

8 เราจะเอาเชือกมัดเจ้าไว้ เพื่อเจ้าจะพลิกตัวไม่ได้จนกว่าจะครบกำหนดวันล้อมเมือง

9 “จงเอาข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วและถั่วแดง ข้าวฟ่าง และข้าวสแปลต์เก็บไว้ในโอ่งเพื่อใช้ทำขนมปังให้ตนเอง ซึ่งเจ้าจะต้องกินระหว่างที่เจ้านอนตะแคงตลอด 390 วัน

10 จงตวงอาหารออกมาวันละประมาณ 200 กรัมและกินอาหารนี้ตามมื้อที่กำหนดในแต่ละวัน

11 และจงตวงน้ำประมาณ 0.6 ลิตรดื่มตามเวลาที่กำหนด

12 จงกินอาหารนี้เหมือนกินขนมข้าวบาร์เลย์ จงปิ้งกินต่อหน้าผู้คน โดยใช้อุจจาระมนุษย์เป็นเชื้อเพลิง”

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ชนชาติอิสราเอลจะกินอาหารที่เป็นมลทินเช่นนี้ท่ามกลางประชาชาติต่างๆ ซึ่งเราจะขับไล่เขาไปนั้น”

14 แล้วข้าพเจ้าจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย! ข้าพระองค์ไม่เคยปล่อยตัวเป็นมลทินเลย ตั้งแต่เด็กมาจนบัดนี้ข้าพระองค์ไม่เคยรับประทานสัตว์ใดที่ตายเอง หรือที่ถูกสัตว์ป่าขย้ำ ไม่เคยมีเนื้อสัตว์มลทินใดๆ เข้าปากข้าพระองค์เลย”

15 พระองค์ตรัสว่า “เอาเถิด เราอนุญาตให้เจ้าปิ้งขนมปังโดยใช้มูลโคแทนอุจจาระมนุษย์”

16 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เราจะตัดแหล่งเสบียงในเยรูซาเล็ม ผู้คนจะกินอาหารปันส่วนด้วยความหวาดวิตก และดื่มน้ำปันส่วนด้วยความสิ้นหวัง

17 เพราะน้ำและอาหารจะหายาก พวกเขาจะมองตากันด้วยความอกสั่นขวัญแขวน และจะซูบซีดไปเพราะบาปของตน

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/4-1abe211af4127cd2aa956577b88b6936.mp3?version_id=179—

เอเสเคียล 5

1 “บัดนี้บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเอาดาบคมกริบมาเล่มหนึ่งและใช้มันเป็นเหมือนมีดโกนของช่างตัดผม จงโกนผมและเคราของเจ้า แล้วเอาตาชั่งมาชั่ง แบ่งผมออกเป็นส่วนๆ

2 เมื่อสิ้นสุดวันกำหนดให้ล้อมกรุงแล้ว จงเผาผมหนึ่งในสามส่วนในกรุงนั้น ผมอีกหนึ่งในสามใช้ดาบฟันกระจายรอบเมือง อีกหนึ่งในสามที่เหลือโปรยปลิวไปกับลมเพราะเราจะชักดาบออกมารุกไล่พวกเขา

3 แต่จงเอาผมกระจุกหนึ่งมาขมวดไว้ในทบของเสื้อคลุม

4 แล้วเอาสองสามเส้นออกมาโยนลงในไฟและเผาให้หมด ไฟกองหนึ่งจะลามจากที่นั่นมายังพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมด

5 “พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า นี่คือเยรูซาเล็มซึ่งเราตั้งไว้ใจกลางชนชาติต่างๆ มีนานาประเทศล้อมรอบ

6 แต่โดยความชั่วร้าย เยรูซาเล็มได้กบฏต่อบทบัญญัติและกฎหมายของเรามากยิ่งกว่าชนชาติและประเทศต่างๆ โดยรอบ เยรูซาเล็มได้ละทิ้งบทบัญญัติของเราและไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา

7 “ดังนั้นพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตจึงตรัสดังนี้ว่า เจ้าดื้อด้านยิ่งกว่าชนชาติต่างๆ โดยรอบ และไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายของเราหรือรักษาบทบัญญัติของเรา มิหนำซ้ำยังชั่วร้ายยิ่งกว่าชนชาติเพื่อนบ้านเสียอีก

8 “ดังนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตจึงตรัสดังนี้ว่า เยรูซาเล็มเอ๋ย เราเองจะเป็นศัตรูกับเจ้า และจะลงโทษเจ้าต่อหน้าประชาชาติทั้งหลาย

9 เนื่องจากรูปเคารพอันน่าชิงชังทั้งปวงของเจ้า เราจะทำกับเจ้าอย่างที่เราไม่เคยทำมาก่อนและจะไม่ทำอีกเลย

10 ดังนั้นในหมู่พวกเจ้า พ่อจะกินลูกของตนเองและลูกจะกินพ่อ เราจะลงโทษเจ้าและจะทำให้ผู้ที่รอดชีวิตอยู่ทั้งหมดกระจัดกระจายไปตามลม

11 ดังนั้นพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตจึงประกาศดังนี้ว่า เราดำรงชีวิตอยู่แน่ฉันใด เนื่องจากเจ้าทำให้สถานนมัสการของเราเป็นมลทินด้วยรูปเคารพอันชั่วช้าสามานย์และพิธีกรรมอันน่าชิงชังทั้งสิ้นของเจ้า เราเองจะเลิกโปรดปรานเจ้า เราจะไม่เหลียวแลเจ้าด้วยความสงสารหรือไว้ชีวิตเจ้าฉันนั้น

12 หนึ่งในสามของพวกเจ้าจะตายด้วยโรคระบาดหรือการกันดารอาหารในกรุง อีกหนึ่งในสามล้มตายด้วยสงครามนอกกำแพง และเราจะชักดาบออกไล่ล่าอีกหนึ่งในสามของพวกเจ้าให้กระจัดกระจายไปตามลม

13 “แล้วความโกรธของเราจะมอดลง โทสะของเราจะสงบลง และเราจะหายแค้น และเมื่อเราได้ระบายโทสะเหนือพวกเขา พวกเขาจะรู้ว่าเราผู้เป็นพระยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาไว้ด้วยความกระตือรือร้น

14 “เราจะทำให้เจ้าเป็นซากปรักหักพัง และเป็นที่ตำหนิติเตียนในหมู่ประชาชาติรอบตัวเจ้า ต่อหน้าผู้คนที่ผ่านไปมา

15 เจ้าจะเป็นที่ตำหนิติเตียนและเป็นที่เปรียบเปรยเย้ยหยัน เป็นคำเตือนและเป็นเป้าของความสยดสยองแก่บรรดาประชาชาติโดยรอบ เมื่อเราลงโทษเจ้าด้วยความโกรธ ด้วยโทสะ และด้วยการกำราบอันเจ็บแสบ เราผู้เป็นพระยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาไว้

16 เมื่อเรายิงเจ้าด้วยลูกศรแห่งการกันดารอาหารที่เข่นฆ่าและทำลายล้าง เราจะยิงลูกศรเพื่อทำลายเจ้า เราจะนำการกันดารอาหารที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มายังเจ้า และตัดแหล่งเสบียงอาหารของเจ้า

17 เราจะส่งการกันดารอาหารและสัตว์ป่ามาเล่นงานเจ้า และคร่าชีวิตลูกๆ ของเจ้า โรคระบาดและการนองเลือดจะแพร่ไปทั่วดินแดนของเจ้า และเราจะนำดาบมาฟาดฟันเจ้า เราผู้เป็นพระยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาไว้”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/5-b93677cba664b359ab63d7f86efd4693.mp3?version_id=179—

เอเสเคียล 6

คำเผยพระวจนะกล่าวโทษภูเขาต่างๆ ของอิสราเอล

1 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าความว่า

2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงหันหน้าของเจ้าไปยังภูเขาทั้งหลายของอิสราเอลและเผยพระวจนะกล่าวโทษภูเขาเหล่านั้น

3 จงกล่าวว่า ‘บรรดาภูเขาแห่งอิสราเอลเอ๋ย จงฟังพระดำรัสของพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสแก่ภูเขาน้อยใหญ่ ลำห้วย และหุบเขาต่างๆ ดังนี้ว่า เรากำลังจะนำดาบมาต่อสู้เจ้าและเราจะทำลายล้างสถานบูชาบนที่สูงของเจ้า

4 แท่นบูชาของเจ้าจะถูกทลายทิ้ง แท่นเผาเครื่องหอมของเจ้าจะถูกทุบให้แหลก เราจะประหารคนของเจ้าต่อหน้ารูปเคารพทั้งหลายของเจ้า

5 เราจะทิ้งศพชาวอิสราเอลไว้หน้าบรรดารูปเคารพของพวกเขา เราจะโปรยกระดูกของเจ้ารอบแท่นบูชาทั้งหลายของเจ้า

6 ไม่ว่าเจ้าจะอาศัยอยู่ที่ไหน เมืองต่างๆ จะถูกทิ้งร้าง และสถานบูชาบนที่สูงจะถูกทลายลง แท่นบูชาต่างๆ ของเจ้าจะเริศร้างและถูกทำลาย รูปเคารพทั้งหลายแหลกป่นปี้ แท่นเผาเครื่องหอมพังทลาย สิ่งที่เจ้าสร้างขึ้นถูกกวาดล้างออกไป

7 คนของเจ้าจะถูกสังหารล้มตายลงท่ามกลางพวกเจ้าและเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์

8 “ ‘แต่เราจะไว้ชีวิตบางคน เพราะจะมีบางคนในพวกเจ้ารอดจากคมดาบ เมื่อพวกเจ้าถูกทำให้กระจัดกระจายไปในดินแดนและชนชาติต่างๆ

9 ผู้ที่หนีรอดไปได้จะระลึกถึงเราในหมู่ชนชาติที่เขาถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ว่าเราชอกช้ำใจเพียงใด เพราะใจใฝ่คบชู้ของพวกเขาซึ่งหันเหไปจากเรา เพราะตาของพวกเขาซึ่งกระสันหารูปเคารพต่างๆ เขาจะเกลียดตัวเองเพราะความชั่วที่ได้ทำลงไปและเพราะความประพฤติอันน่ารังเกียจทั้งสิ้นของตน

10 เขาจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์ เราไม่ได้ขู่เขาแบบลมๆ แล้งๆ ว่าจะนำภัยพิบัติมายังเขา

11 “ ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า จงตบมือ กระทืบเท้า และร้องว่า “อนิจจา!” เนื่องด้วยความชั่วร้ายและความประพฤติอันน่าชิงชังของพงศ์พันธุ์อิสราเอล เพราะพวกเขาจะล้มตายด้วยสงคราม การกันดารอาหาร และโรคระบาด

12 คนที่อยู่ไกลออกไปจะตายเพราะโรคระบาด คนที่อยู่ใกล้จะตายเพราะสงคราม คนที่รอดชีวิตอยู่จะตายเพราะการกันดารอาหาร เราจะระบายความโกรธลงเหนือพวกเขาเช่นนี้แหละ

13 และเขาจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์ เมื่อคนของเขาจะถูกฆ่าตายอยู่ท่ามกลางรูปเคารพบนแท่นบูชาของเขา บนภูเขาสูงทุกลูก และบนยอดเขาทุกแห่ง ใต้ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาและต้นโอ๊กใบดกทุกต้น ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกเขาได้เผาเครื่องหอมบูชาแก่รูปเคารพทั้งสิ้นของตน

14 เราจะยื่นมือออกฟาดฟันเขา และทำให้ดินแดนนั้นเริศร้างตั้งแต่ถิ่นกันดารไปจนจดดิบลาห์ไม่ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน แล้วพวกเขาจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์’ ”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/6-014ca4810fabdb5f298766769167a49b.mp3?version_id=179—

เอเสเคียล 7

จุดจบมาถึงแล้ว

1 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าความว่า

2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสแก่ดินแดนอิสราเอลดังนี้ว่า

“ ‘จุดจบ! จุดจบ

มาเหนือสี่มุมของแผ่นดินแล้ว

3 วาระสุดท้ายมาถึงเจ้าแล้ว

เราจะระบายความโกรธลงเหนือเจ้า

เราจะพิพากษาเจ้าตามความประพฤติของเจ้าและจะตอบแทนการกระทำอันน่าชิงชังทั้งสิ้นของเจ้า

4 เราจะไม่เหลียวแลเจ้าด้วยความเอ็นดูสงสาร

หรือไว้ชีวิตเจ้า

เราจะตอบแทนเจ้าให้สาสมกับความประพฤติ

และการกระทำอันน่าชิงชังในหมู่พวกเจ้าอย่างแน่นอน

แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์’

5 “พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า

“ ‘ภัยพิบัติ! ภัยพิบัติอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน!

มันจะมาถึง!

6 จุดจบมาถึงแล้ว!

จุดจบมาถึงแล้ว!

มันก่อตัวขึ้นมาเล่นงานเจ้า

มันมาถึงแล้ว!

7 ความพินาศมาเหนือเจ้า

เหนือเจ้าผู้อาศัยอยู่ในดินแดน

ถึงเวลาแล้ว! วันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว!

บนภูเขาทั้งหลายจะมีแต่ความโกลาหลอลหม่าน ไม่ใช่ความชื่นชมยินดี

8 เรากำลังจะระบายโทสะลงเหนือเจ้า

และระบายความโกรธต่อเจ้า

เราจะพิพากษาเจ้าตามความประพฤติของเจ้า

และจะตอบแทนเจ้าให้สาสมกับการกระทำอันน่าชิงชังทั้งสิ้นของเจ้า

9 เราจะไม่เหลียวแลเจ้าด้วยความเอ็นดูสงสาร

หรือไว้ชีวิตเจ้า

เราจะตอบแทนเจ้าให้สาสมกับความประพฤติ

และการกระทำอันน่าชิงชังในหมู่พวกเจ้า

เมื่อนั้นเจ้าจะรู้ว่าเราผู้เป็นพระยาห์เวห์นี่แหละที่ลงโทษพวกเจ้า

10 “ ‘วันนั้นมาถึงแล้ว!

มันมาถึงแล้ว!

หายนะปะทุขึ้นแล้ว

ไม้เรียวผลิดอกแล้ว

และความหยิ่งยโสก็เบ่งบาน!

11 ความทารุณก็เติบโต

เป็นไม้เรียวเพื่อลงโทษความชั่วร้าย

ไม่มีใครในชนชาตินั้น

ไม่มีสักคนในฝูงชนนั้น

ไม่มีทรัพย์สมบัติ

หรือสิ่งมีค่าเหลืออยู่เลย

12 เวลานั้นมาถึงแล้ว!

วันนั้นมาถึงแล้ว!

อย่าให้ผู้ซื้อลิงโลด

อย่าให้ผู้ขายเศร้าโศก

เพราะพระพิโรธอยู่เหนือกลุ่มชนทั้งหมด

13 ผู้ขายจะไม่ได้รับที่ดิน

ซึ่งขายไปกลับคืนมาเป็นของตน

ตราบเท่าที่ทั้งสองฝ่ายยังมีชีวิตอยู่

เพราะนิมิตเกี่ยวกับกลุ่มชนทั้งหมด

จะไม่ผันแปร

เนื่องจากบาปทั้งหลายของพวกเขา

จึงไม่มีแม้สักคนจะรักษาชีวิตของตนไว้ได้

14 “ ‘แม้พวกเขาเป่าแตร

และเตรียมทุกสิ่งไว้พร้อมสรรพ

แต่ก็จะไม่มีใครออกรบเลย

เพราะโทสะของเราตกอยู่แก่กลุ่มชนทั้งหมด

15 นอกกรุงคือสงคราม

ในกรุงคือโรคระบาดและการกันดารอาหาร

ผู้ที่อยู่ในท้องทุ่ง

ก็ตายเพราะสงคราม

ส่วนผู้ที่อยู่ในกรุง

ก็ถูกกลืนกินเพราะการกันดารอาหารและโรคระบาด

16 คนทั้งปวงที่หนีรอดชีวิตไปได้

จะหนีไปอยู่ตามภูเขา

เหมือนนกพิราบตามหุบเขา

พวกเขาจะร้องครวญคราง

เพราะบาปของตน

17 มือทุกมือจะอ่อนเปลี้ย

และเข่าทุกเข่าจะอ่อนปวกเปียกเหมือนน้ำ

18 พวกเขาจะสวมใส่ผ้ากระสอบ

และนุ่งห่มความอกสั่นขวัญแขวน

ทุกใบหน้าจะถูกปิดด้วยความอัปยศอดสู

และทุกศีรษะจะถูกโกน

19 “ ‘พวกเขาจะโยนเงินทิ้งตามถนน

ทองของพวกเขาจะมีค่าเท่ากับสิ่งโสโครก

เงินและทองของพวกเขา

จะไม่สามารถช่วยเขาให้รอดได้

ในวันแห่งพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า

มันจะไม่ช่วยแก้หิว

หรือช่วยให้อิ่มท้อง

เพราะมันทำให้พวกเขาสะดุดล้มลงในความบาป

20 พวกเขาภูมิใจในเพชรพลอยอันงดงามของตน

และใช้มันทำรูปเคารพอันน่าชิงชัง

พวกเขาใช้มันทำเทวรูปอันชั่วช้าสามานย์

ดังนั้นเราจะเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ให้กลายเป็นสิ่งที่เป็นมลทินกับพวกเขา

21 เราจะยกความมั่งคั่งของพวกเขาให้เป็นของปล้นแก่คนต่างชาติ

ให้เป็นของเชลยแก่คนชั่วร้ายบนโลก

ผู้ที่จะทำให้มันเป็นมลทิน

22 เราจะเบือนหน้าหนีจากประชากร

และโจรจะย่ำยีสถานที่ที่เรารัก

พวกมันจะเข้ามา

และจะทำให้ที่นั่นเป็นมลทิน

23 “ ‘จงเตรียมโซ่ตรวน!

เพราะแผ่นดินนองเลือด

และกรุงนี้เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณ

24 เราจะนำประชาชาติที่ชั่วร้ายที่สุด

มาครอบครองบ้านเรือนของพวกเขา

เราจะยุติความหยิ่งยโสของผู้มีอำนาจ

และสถานนมัสการของพวกเขาจะถูกทำให้เป็นมลทิน

25 เมื่อความหวาดหวั่นพรั่นพรึงมาถึง

พวกเขาจะแสวงหาสันติภาพแต่ก็ไร้ประโยชน์

26 หายนะโหมกระหน่ำเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า

และมีข่าวลือระลอกแล้วระลอกเล่า

พวกเขาจะพยายามหานิมิตจากผู้เผยพระวจนะ

คำสอนของปุโรหิตจากบทบัญญัติจะหมดไป

คำปรึกษาของบรรดาผู้อาวุโสจะสูญสิ้นไป

27 กษัตริย์จะคร่ำครวญ

เจ้านายจะคลุมกายด้วยความสิ้นหวัง

และประชาชนจะมือไม้สั่น

เราจะจัดการกับพวกเขาตามความประพฤติของพวกเขา

และเราจะพิพากษาพวกเขาตามมาตรฐานของพวกเขา

เมื่อนั้นพวกเขาจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์’ ”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/7-d58676304c521b64de62a944d884aa41.mp3?version_id=179—

เอเสเคียล 8

การกราบไหว้รูปเคารพในพระวิหาร

1 ในวันที่ห้าเดือนที่หกปีที่หก ขณะที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ในบ้าน และบรรดาผู้อาวุโสของยูดาห์นั่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตมาเหนือข้าพเจ้าที่นั่น

2 ข้าพเจ้ามองดูก็เห็นร่างหนึ่งคล้ายมนุษย์จากส่วนที่ดูคล้ายบั้นเอวของผู้นั้นลงมาเป็นไฟ และจากส่วนนั้นขึ้นไปเหมือนโลหะสุกปลั่ง

3 ผู้นั้นยื่นส่วนที่คล้ายมือออกมาจับผมบนศีรษะของข้าพเจ้า พระวิญญาณทรงยกข้าพเจ้าขึ้นระหว่างพิภพโลกและฟ้าสวรรค์ และในนิมิตของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงพาข้าพเจ้ามายังเยรูซาเล็มตรงทางเข้าประตูทิศเหนือของลานชั้นใน ซึ่งเป็นที่ตั้งของรูปเคารพ ซึ่งยั่วยุพระพิโรธของพระเจ้า

4 ที่นั่นพระเกียรติสิริของพระเจ้าแห่งอิสราเอลอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าเหมือนในนิมิตซึ่งข้าพเจ้าเห็นในที่ราบนั้น

5 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงมองไปทางเหนือ” ข้าพเจ้าก็มองไปและข้าพเจ้าเห็นรูปเคารพที่ยั่วยุพระพิโรธตรงทางเข้าด้านเหนือของประตูแท่นบูชา

6 และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่หรือไม่? คือสิ่งที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง ซึ่งพงศ์พันธุ์อิสราเอลกำลังทำอยู่ที่นี่ สิ่งซึ่งจะผลักไสเราให้ไกลห่างจากสถานนมัสการของเรา แต่เจ้าจะเห็นสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งกว่านี้อีก”

7 แล้วพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาที่ทางเข้าลาน ข้าพเจ้ามองดู เห็นช่องช่องหนึ่งในกำแพง

8 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเจาะเข้าไปในกำแพงเดี๋ยวนี้” ข้าพเจ้าก็เจาะและเห็นเป็นทางเข้าไป

9 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงเข้าไปเถิด ไปดูสิ่งชั่วร้ายและน่าชิงชังที่พวกเขากำลังทำอยู่ที่นี่”

10 ข้าพเจ้าจึงเข้าไปดู เห็นบนผนังโดยรอบมีภาพวาดสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ที่น่ารังเกียจทุกชนิด และรูปเคารพทั้งสิ้นของพงศ์พันธุ์อิสราเอล

11 ผู้อาวุโสของพงศ์พันธุ์อิสราเอลเจ็ดสิบคนยืนอยู่ตรงหน้าสิ่งเหล่านั้น และยาอาซันยาห์บุตรชาฟาน ก็ยืนอยู่ในหมู่พวกเขาด้วย แต่ละคนถือกระถางไฟและมีควันจากเครื่องหอมลอยขึ้นไป

12 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นแล้วใช่ไหมว่า บรรดาผู้อาวุโสของพงศ์พันธุ์อิสราเอลซุ่มทำอะไรอยู่ในความมืด? แต่ละคนอยู่ที่สถานบูชารูปเคารพของตน พวกเขาพูดว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่เห็นเราหรอกองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทิ้งดินแดนนี้ไปแล้ว’ ”

13 แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า “เจ้าจะเห็นพวกเขาทำสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งกว่านี้อีก”

14 แล้วพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาที่ทางเข้าประตูทิศเหนือของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าข้าพเจ้าเห็นพวกผู้หญิงนั่งร้องไห้ไว้อาลัยแก่พระทัมมุส

15 พระองค์ตรัสว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม เจ้าจะได้เห็นสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งกว่านี้อีก”

16 แล้วพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามายังลานชั้นในของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าและที่ประตูทางเข้าพระวิหาร ระหว่างมุขกับแท่นบูชา มีผู้ชายประมาณ 25 คนหันหลังให้พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก พวกเขากำลังหมอบกราบดวงอาทิตย์ทางทิศตะวันออก

17 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม? นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยหรือที่พงศ์พันธุ์ยูดาห์ทำสิ่งน่ารังเกียจอย่างที่พวกเขาทำอยู่ที่นี่? พวกเขาทำให้แผ่นดินเต็มไปด้วยความทารุณ และยั่วโมโหเราอยู่เนืองๆ ดูเถิด พวกเขากำลังเย้ยหยันเรา!

18 ฉะนั้นเราจะจัดการกับพวกเขาด้วยความโกรธ เราจะไม่เอ็นดูสงสารหรือไว้ชีวิตพวกเขา แม้พวกเขาจะตะโกนใส่หูเรา เราก็จะไม่ฟัง”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/8-4637736e0938ebd4d163e306fe33d3fb.mp3?version_id=179—

เอเสเคียล 9

คนไหว้รูปเคารพถูกฆ่า

1 แล้วข้าพเจ้าได้ยินพระองค์เปล่งพระสุรเสียงอันดังว่า “จงนำผู้รักษาการณ์ประจำกรุงนี้มาที่นี่ ให้แต่ละนายถืออาวุธของตนมาด้วย”

2 และข้าพเจ้าเห็นชายหกคนมาจากทางประตูด้านบนซึ่งหันไปทางทิศเหนือ แต่ละคนถืออาวุธพิษสงร้ายกาจมาด้วย พวกเขามาพร้อมกับชายคนหนึ่งนุ่งห่มผ้าลินิน ผู้มีหีบเครื่องเขียนอยู่ข้างกาย พวกเขาเข้ามายืนอยู่ข้างแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์

3 พระเกียรติสิริของพระเจ้าแห่งอิสราเอลเคลื่อนขึ้นจากเหนือเครูบที่เคยสถิตมายังธรณีประตูพระวิหาร แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกชายที่นุ่งห่มผ้าลินินและมีหีบเครื่องเขียนอยู่ข้างกายนั้น

4 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม กาเครื่องหมายบนหน้าผากของบรรดาผู้ที่เศร้าโศกและคร่ำครวญเพราะสิ่งที่น่าเกลียดชิงชังทั้งสิ้นซึ่งคนทั้งหลายทำกันในกรุงนี้”

5 ขณะที่ข้าพเจ้าฟังอยู่ ก็ได้ยินพระองค์ตรัสกับคนอื่นๆ ว่า “จงตามเขาไปทั่วกรุงและเข่นฆ่าทุกคน อย่าได้สงสารหรือเมตตาปรานีเลย

6 จงฆ่าทั้งคนแก่ หนุ่มสาว ผู้หญิง และเด็ก แต่อย่าแตะต้องผู้ที่มีเครื่องหมายนั้น จงเริ่มต้นตั้งแต่สถานนมัสการของเรานี้เลย” คนเหล่านั้นจึงตั้งต้นฆ่าตั้งแต่ผู้อาวุโสซึ่งอยู่ที่หน้าพระวิหาร

7 แล้วพระองค์ตรัสว่า “จงทำให้พระวิหารเป็นมลทิน และทิ้งร่างผู้ที่ถูกประหารไว้ให้เกลื่อนลาน จงไปเถิด!” พวกเขาจึงออกไปและตั้งต้นฆ่าคนทั่วกรุง

8 ขณะที่พวกเขากำลังฆ่าคนอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็อยู่แต่ลำพัง ข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงร้องทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต! พระองค์จะทรงทำลายล้างคนหยิบมือที่เหลืออยู่ในอิสราเอลไปหมดด้วยพระพิโรธที่ทรงระบายเหนือเยรูซาเล็มครั้งนี้หรือ?”

9 พระองค์ตรัสตอบว่า “บาปของพงศ์พันธุ์อิสราเอลและยูดาห์ใหญ่หลวงนัก แผ่นดินเต็มไปด้วยการนองเลือดและความอยุติธรรม พวกเขากล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงละทิ้งดินแดนนี้ไปเสียแล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงเห็น’

10 ฉะนั้นเราจะไม่เอ็นดูสงสารหรือไว้ชีวิตเขา แต่เราจะให้สิ่งที่พวกเขาทำไว้นั้นย้อนกลับมาตกแก่พวกเขาเอง”

11 แล้วชายที่นุ่งห่มผ้าลินินซึ่งมีหีบเครื่องเขียนอยู่ข้างกายนั้นก็กลับมาทูลรายงานว่า “ข้าพระองค์ได้ทำตามพระบัญชาเรียบร้อยแล้ว”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/9-7fe67f80f93241820c32b6c98831cd7c.mp3?version_id=179—

เอเสเคียล 10

พระเกียรติสิริพรากจากพระวิหาร

1 ข้าพเจ้ามองดูและเห็นบางสิ่งคล้ายพระที่นั่งไพฑูรย์อยู่เหนือฟ้ากว้างที่อยู่เหนือศีรษะของเหล่าเครูบ

2 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับชายที่นุ่งห่มผ้าลินินนั้นว่า “จงเข้าไปท่ามกลางวงล้อใต้เหล่าเครูบ แล้วกอบถ่านไฟคุซึ่งอยู่ท่ามกลางเหล่าเครูบมาโปรยทั่วกรุงนี้” ชายคนนั้นก็เข้าไปขณะที่ข้าพเจ้าเฝ้าดูอยู่

3 เหล่าเครูบยืนอยู่ที่ด้านใต้ของพระวิหารเมื่อชายผู้นั้นเข้าไป และมีเมฆปกคลุมอยู่ทั่วลานชั้นใน

4 แล้วพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็เคลื่อนขึ้นจากเหนือเหล่าเครูบนั้นมายังธรณีประตูพระวิหาร เมฆปกคลุมพระวิหาร และทั่วลานพระวิหารเต็มไปด้วยรังสีเจิดจ้าแห่งพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า

5 เสียงปีกของเหล่าเครูบได้ยินไปไกลถึงลานชั้นนอกเหมือนพระสุรเสียงของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์

6 เมื่อพระองค์ตรัสสั่งชายที่สวมผ้าลินินนั้นว่า “จงไปเอาไฟจากท่ามกลางวงล้อที่อยู่ในหมู่เครูบออกมา” ชายนั้นก็เข้าไปยืนอยู่ข้างวงล้อวงหนึ่ง

7 แล้วเครูบตนหนึ่งก็ยื่นมือออกไปที่ไฟซึ่งอยู่ท่ามกลางพวกตน เอาไฟออกมาส่วนหนึ่งใส่ในมือของชายผู้สวมผ้าลินิน เขาก็รับไว้และออกมา

8 (เห็นสิ่งหนึ่งคล้ายมือมนุษย์อยู่ใต้ปีกของเครูบ)

9 ข้าพเจ้ามองดูเห็นวงล้อสี่วงอยู่ข้างเหล่าเครูบ เครูบหนึ่งตนมีวงล้อหนึ่งวง วงล้อนั้นเปล่งประกายคล้ายพลอยสีเขียวอมเหลือง

10 วงล้อทั้งสี่มีลักษณะเหมือนกัน แต่ละวงดูคล้ายมีวงล้อซ้อนขวางอยู่ข้างใน

11 วงล้อสามารถเคลื่อนไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่งในสี่ทิศทางตามแต่เครูบจะมุ่งหน้าไป ล้อนั้นไม่ได้เลี้ยวเมื่อเครูบเคลื่อนไป เหล่าเครูบมุ่งหน้าไปทิศทางใดก็ได้โดยไม่ต้องหันตัวเลย

12 ทั่วร่างของเครูบ ทั้งหลังมือและปีกล้วนมีตาเต็มไปหมดเช่นเดียวกับวงล้อทั้งสี่

13 ข้าพเจ้าได้ยินเขาเรียกวงล้อนั้นว่า “วงล้อกังหัน”

14 เครูบแต่ละตนมีสี่หน้า หน้าที่หนึ่งเป็นหน้าวัวหน้าที่สองเป็นหน้ามนุษย์ หน้าที่สามเป็นหน้าสิงโต หน้าที่สี่เป็นหน้านกอินทรี

15 แล้วเหล่าเครูบก็ลอยขึ้นไป นี่คือสิ่งมีชีวิตซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์

16 เมื่อเหล่าเครูบเคลื่อนไป วงล้อที่อยู่ข้างๆ ก็เคลื่อนไปด้วย และเมื่อเครูบกางปีกเหาะขึ้นจากพื้น วงล้อนั้นก็เคียงข้างเครูบไป

17 เมื่อเครูบยืนนิ่ง วงล้อก็หยุดนิ่ง และเมื่อเครูบลอยขึ้น วงล้อก็ลอยขึ้นด้วยเพราะวิญญาณของสิ่งมีชีวิตนั้นอยู่ในวงล้อ

18 แล้วพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ไปจากเหนือธรณีประตูพระวิหาร ไปหยุดอยู่เหนือเหล่าเครูบ

19 ขณะที่ข้าพเจ้าเฝ้าดูอยู่ เหล่าเครูบก็กางปีกบินขึ้นจากพื้น เมื่อเคลื่อนไป วงล้อก็เคลื่อนไปด้วย เครูบและวงล้อมาหยุดอยู่ที่ทางเข้าประตูทางตะวันออกของพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเกียรติสิริของพระเจ้าแห่งอิสราเอลอยู่เหนือเครูบ

20 ข้าพเจ้าเคยเห็นสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อยู่ใต้พระเจ้าแห่งอิสราเอลที่ริมแม่น้ำเคบาร์ และข้าพเจ้าตระหนักว่านั่นคือเหล่าเครูบ

21 แต่ละตนมีสี่หน้าและสี่ปีก และใต้ปีกมีสิ่งที่ดูเหมือนมือมนุษย์

22 ใบหน้าของเครูบเหล่านี้มีลักษณะเดียวกับที่ข้าพเจ้าเคยเห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์ แต่ละตนมุ่งตรงไปข้างหน้า

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/10-249eb429af73a90063549aa7370bb2f7.mp3?version_id=179—

เอเสเคียล 11

การพิพากษาบรรดาผู้นำอิสราเอล

1 แล้วพระวิญญาณทรงยกข้าพเจ้าขึ้น นำมายังประตูทิศตะวันออกของพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีชาย 25 คนอยู่ตรงทางเข้าประตูนั้น และในหมู่พวกเขาข้าพเจ้าเห็นยาอาซันยาห์บุตรอัสซูร์และเปลาทียาห์บุตรเบไนยาห์ ทั้งคู่เป็นผู้นำประชากร

2 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย คนเหล่านี้คือคนที่คิดแผนชั่วและให้คำปรึกษาอันร้ายกาจในกรุงนี้

3 พวกเขากล่าวว่า ‘ใกล้จะถึงเวลาที่เราจะสร้างบ้านขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ?กรุงนี้เป็นเหมือนหม้อและเราเป็นเหมือนเนื้อที่ปลอดภัยอยู่ในนั้น’

4 ฉะนั้นจงเผยพระวจนะกล่าวโทษเขาเถิด บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเผยพระวจนะ”

5 แล้วพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาเหนือข้าพเจ้า พระองค์ตรัสสั่งให้ข้าพเจ้ากล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เจ้าพูดเช่นนั้น แต่เรารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่

6 เจ้าได้ฆ่าคนมากมายในกรุงนี้ มีคนตายเกลื่อนถนนไปหมด

7 “ดังนั้นพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า ซากศพที่เจ้าทิ้งเกลื่อนคือเนื้อ และกรุงนี้คือหม้อ แต่เราจะขับไล่เจ้าออกไปจากที่นี่

8 เจ้ากลัวดาบ เราก็จะนำดาบมายังเจ้า พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศไว้ดังนี้

9 เราจะขับไล่เจ้าออกจากกรุงนี้และมอบเจ้าให้แก่คนต่างชาติ เราจะลง โทษเจ้า

10 เจ้าจะล้มตายด้วยดาบและเราจะพิพากษาเจ้าที่ชายแดนอิสราเอล เมื่อนั้นเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์

11 กรุงนี้จะไม่ใช่หม้อสำหรับเจ้า และเจ้าก็ไม่ใช่เนื้อในหม้อนี้ เราจะพิพากษาเจ้าที่ชายแดนอิสราเอล

12 และเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์ เพราะเจ้าไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายของเราและไม่ได้รักษาบทบัญญัติของเรา แต่กลับประพฤติตามแบบอย่างของชนชาติทั้งหลายที่อยู่รายรอบเจ้า”

13 ขณะที่ข้าพเจ้าเผยพระวจนะอยู่ เปลาทียาห์บุตรเบไนยาห์ก็สิ้นชีวิตไป ข้าพเจ้าจึงซบหน้าลงและร้องเสียงดังว่า “โอ ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต! พระองค์จะทรงทำลายล้างชนอิสราเอลที่เหลืออยู่นี้เสียสิ้นเลยหรือ?”

14 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า

15 “บุตรมนุษย์เอ๋ย ผู้คนในเยรูซาเล็มได้กล่าวถึงญาติพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันกับเจ้าและพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดว่า ‘พวกเขาห่างไกลจากองค์พระผู้เป็นเจ้าดินแดนนี้จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเรา’

พระสัญญาว่าอิสราเอลจะกลับคืนมา

16 “ฉะนั้นจงกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า ถึงแม้เราขับไล่พวกเขาไปไกลๆ ไปอยู่ในหมู่ประชาชาติต่างๆ และทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปสู่นานาประเทศ แต่อีกไม่นานเราก็จะเป็นสถานนมัสการสำหรับพวกเขาในประเทศที่เขาไปนั้น’

17 “ฉะนั้นจงกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า เราจะรวบรวมพวกเจ้าจากประชาชาติต่างๆ และนำเจ้ากลับมาจากนานาประเทศที่เราทำให้เจ้ากระจัดกระจายไปนั้น ทั้งเราจะคืนดินแดนอิสราเอลให้เจ้าอีกครั้ง’

18 “พวกเขาจะกลับมาและกำจัดเทวรูปอันชั่วช้าสามานย์และรูปเคารพอันน่าชิงชังให้หมดไป

19 เราจะให้พวกเขามีใจเดียว และมีจิตวิญญาณใหม่ เราจะถอนใจหินของพวกเขาออกและให้ใจเนื้อแก่พวกเขา

20 แล้วพวกเขาจะปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และจะใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา พวกเขาจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา

21 แต่ส่วนผู้ที่มอบใจให้เทวรูปอันชั่วช้าสามานย์และรูปเคารพอันน่าชิงชัง เราจะตอบแทนให้สาสมกับที่พวกเขาทำลงไป พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศไว้ดังนี้”

22 จากนั้นเครูบซึ่งมีวงล้ออยู่ข้างๆ ก็กางปีกออก และพระเกียรติสิริของพระเจ้าแห่งอิสราเอลอยู่เหนือเหล่าเครูบ

23 พระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าเคลื่อนขึ้นจากในกรุงนั้น และหยุดนิ่งอยู่เหนือภูเขาด้านตะวันออกของกรุง

24 ในนิมิตซึ่งพระวิญญาณของพระเจ้าประทาน พระวิญญาณทรงยกข้าพเจ้าขึ้น และพาข้าพเจ้ากลับมายังเหล่าเชลยในบาบิโลน

แล้วนิมิตที่ข้าพเจ้าเห็นก็ขึ้นไปจากข้าพเจ้า

25 ข้าพเจ้าจึงแจ้งทุกสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าให้บรรดาเชลยฟัง

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/11-546c3663038c08f2b8f7d3c90f013fcf.mp3?version_id=179—

เอเสเคียล 12

สัญลักษณ์ของการตกเป็นเชลย

1 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าความว่า

2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าอาศัยอยู่ท่ามกลางคนชอบกบฏ ซึ่งมีตาแต่มองไม่เห็น มีหูแต่ไม่ได้ยิน เพราะพวกเขาเป็นคนชอบกบฏ

3 “ฉะนั้น บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเก็บข้าวของเตรียมตัวอพยพในเวลากลางวัน ในขณะที่พวกเขาเฝ้าดูอยู่ จงออกเดินทางจากที่ที่เจ้าอยู่ไปยังอีกที่หนึ่ง เผื่อบางทีพวกเขาจะเข้าใจ แม้พวกเขาจะเป็นพงศ์พันธุ์ที่ชอบกบฏ

4 ในเวลากลางวัน ขณะที่พวกเขาเฝ้าดูอยู่ จงนำข้าวของสัมภาระที่เจ้าเก็บไว้เพื่อการอพยพออกมา และในตอนเย็น ขณะที่พวกเขาเฝ้าดูอยู่ จงออกเดินทางไปเหมือนคนที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย

5 ขณะที่พวกเขาเฝ้าดูอยู่ จงเจาะช่องที่กำแพงบ้านและแบกสัมภาระลอดกำแพงไป

6 จงหอบสัมภาระขึ้นบ่าขณะที่พวกเขากำลังเฝ้าดูอยู่ และแบกไปยามพลบค่ำ จงคลุมหน้าเจ้าไว้เพื่อเจ้าจะมองไม่เห็นแผ่นดิน เพราะเราทำให้เจ้าเป็นหมายสำคัญแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล”

7 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงปฏิบัติตามพระบัญชา ข้าพเจ้านำข้าวของออกมาจัดหีบห่อเตรียมอพยพในตอนกลางวัน ครั้นตกเย็นข้าพเจ้าเจาะกำแพงบ้านด้วยมือ พอพลบค่ำข้าพเจ้าก็หอบสัมภาระใส่บ่าแบกออกไปขณะที่พวกเขาเฝ้าดูอยู่

8 เช้าวันรุ่งขึ้นพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าความว่า

9 “บุตรมนุษย์เอ๋ย พงศ์พันธุ์อิสราเอลที่ชอบกบฏถามเจ้าไม่ใช่หรือว่า ‘เจ้ากำลังทำอะไร?’

10 “จงบอกพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า พระดำรัสนี้พยากรณ์ถึงเจ้านายคนนั้นในเยรูซาเล็มกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงที่นั่น’

11 จงกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นหมายสำคัญสำหรับท่าน’

“สิ่งนี้จะต้องเกิดขึ้นกับพวกเขาอย่างที่ข้าพเจ้าได้ทำให้เห็นนั้น พวกเขาจะต้องอพยพไปในฐานะเชลย

12 “เจ้านายในหมู่พวกเขาจะหอบข้าวของใส่บ่ายามพลบค่ำ และออกเดินทางผ่านช่องซึ่งขุดไว้ในกำแพง เขาจะคลุมหน้าไว้เพื่อเขาจะมองไม่เห็นแผ่นดิน

13 เราจะกางตาข่ายดัก แล้วเขาจะติดกับของเรา เราจะนำเขาไปยังบาบิโลนดินแดนแห่งชาวเคลเดีย แต่เขาจะไม่ได้เห็นมันและเขาจะตายที่นั่น

14 เราจะทำให้ผู้รับใช้และทหารทุกคนที่อยู่รอบตัวเขากระจัดกระจายไปกับสายลม และเราจะส่งดาบมารุกไล่พวกเขา

15 “พวกเขาจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์เมื่อเราขับไล่พวกเขาไปยังชนชาติต่างๆ และทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปยังนานาประเทศ

16 แต่เราจะไว้ชีวิตพวกเขาบางคนให้รอดจากสงคราม การกันดารอาหาร และโรคระบาด เพื่อขณะที่พวกเขาอยู่ท่ามกลางชนชาติต่างๆ พวกเขาจะสำนึกถึงการกระทำอันน่าชิงชังทั้งสิ้นของตน แล้วพวกเขาจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์”

17 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า

18 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงตัวสั่นงันงกขณะที่เจ้ากินอาหาร และสั่นสะท้านด้วยความกลัวขณะดื่มน้ำ

19 จงกล่าวแก่ประชากรในแผ่นดินนั้นว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสว่า บรรดาผู้อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มและในแผ่นดินอิสราเอลจะกินอาหารอย่างวิตกกังวลและดื่มน้ำอย่างสิ้นหวัง เพราะทุกสิ่งในดินแดนของตนจะถูกริบไป เนื่องด้วยความทารุณอำมหิตของบรรดาคนอาศัยอยู่ที่นั่น

20 เมืองที่อาศัยอยู่จะถูกทำลายและแผ่นดินจะถูกทิ้งร้าง เมื่อนั้นเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์’ ”

21 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าความว่า

22 “บุตรมนุษย์เอ๋ย ภาษิตในอิสราเอลที่ว่า ‘วันคืนผ่านไป ไม่เห็นมีสักนิมิตที่เป็นจริง’ นั้นเจ้าหมายความว่าอะไร?

23 จงกล่าวแก่คนทั้งหลายว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า เรากำลังจะยุติภาษิตนี้ คนทั้งหลายจะไม่อ้างภาษิตนี้ในอิสราเอลอีกต่อไป’ จงกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘วันคืนที่ทุกนิมิตจะเป็นจริงใกล้เข้ามาแล้ว

24 เพราะจะไม่มีนิมิตเท็จหรือคำทำนายประจบประแจงในหมู่ชนชาติอิสราเอลอีกต่อไป

25 แต่เรา พระยาห์เวห์จะพูดในสิ่งที่เราประสงค์ และจะเป็นจริงตามนั้นโดยไม่ล่าช้า พงศ์พันธุ์ที่ชอบกบฏเอ๋ย ในชั่วอายุของเจ้านี่แหละ เราจะทำสิ่งที่เราพูดไว้ให้สำเร็จ พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น’ ”

26 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าความว่า

27 “บุตรมนุษย์เอ๋ย พงศ์พันธุ์อิสราเอลกล่าวว่า ‘นิมิตที่เขาเห็นเป็นเรื่องอีกหลายปีข้างหน้า เขาพยากรณ์ถึงเรื่องอนาคตที่ยังห่างไกล’

28 “ฉะนั้นจงบอกพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่าเราจะไม่ยืดเวลาให้อีกต่อไปแล้ว ทุกสิ่งที่เราลั่นวาจาไว้จะถูกทำให้สำเร็จครบถ้วน พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น’ ”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/12-e12c3bbd262df0347bb8eb0d90850ffa.mp3?version_id=179—