โฮเชยา 9

การลงโทษอิสราเอล

1 อิสราเอลเอ๋ย อย่าชื่นชมยินดี

อย่าเปรมปรีดิ์เหมือนชาติอื่นๆ

เพราะเจ้าไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าของเจ้า

เจ้ารักค่าจ้างของหญิงโสเภณี

ตามลานนวดข้าวทุกแห่ง

2 ลานนวดข้าวและบ่อย่ำองุ่นจะไม่พอเลี้ยงประชากร

เหล้าองุ่นใหม่ดับความกระหายของเขาไม่ได้

3 พวกเขาจะไม่ได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินขององค์พระผู้เป็นเจ้า

เอฟราอิมจะกลับไปอียิปต์

และกินอาหารที่มีมลทินในอัสซีเรีย

4 พวกเขาจะไม่ได้รินเหล้าองุ่นบูชาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

และเครื่องบูชาของเขาก็ไม่เป็นที่พอพระทัยพระองค์

เครื่องบูชาเหล่านี้จะเป็นเหมือนอาหารผู้ไว้ทุกข์สำหรับเขา

ผู้ที่กินเข้าไปจะเป็นมลทิน

อาหารนี้จะมีไว้เพื่อตัวเขาเอง

ไม่เหมาะที่จะนำเข้ามาในวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า

5 พวกเจ้าจะทำอะไรในงานเลี้ยงฉลองตามกำหนด

ในวันเทศกาลขององค์พระผู้เป็นเจ้า?

6 ถึงแม้พวกเขาจะรอดพ้นจากความพินาศย่อยยับ

อียิปต์ก็จะรวบรวมพวกเขา

และเมมฟิสจะฝังพวกเขาไว้

คลังเงินของพวกเขาจะถูกปกคลุมด้วยพืชหนาม

ต้นหนามจะงอกขึ้นท่วมเต็นท์ของพวกเขา

7 วันแห่งการลงโทษกำลังมาถึง

วันลงอาญามาใกล้แล้ว

อิสราเอลจงรู้เถิด

เพราะบาปของพวกเจ้ามากมายนัก

เจตนาร้ายของพวกเจ้าใหญ่หลวงนัก

ผู้เผยพระวจนะถูกนับว่าเป็นคนโง่

ผู้ที่พระเจ้าดลใจกลับถูกหาว่าเป็นคนบ้าคลั่ง

8 ผู้เผยพระวจนะพร้อมกับพระเจ้าของข้าพเจ้า

เป็นยามดูแลเอฟราอิม

แต่กับดักรอเขาอยู่ตลอดเส้นทาง

และมีศัตรูในพระนิเวศของพระเจ้าของพวกเขา

9 พวกเขาจมดิ่งลงในความเสื่อมทราม

เหมือนสมัยกิเบอาห์

พระเจ้าจะทรงระลึกถึงความชั่วช้าของพวกเขา

และลงโทษบาปทั้งหลายของพวกเขา

10 “เมื่อเราพบอิสราเอล

ก็เหมือนพบองุ่นในถิ่นกันดาร

เมื่อเราเห็นบรรพบุรุษของพวกเจ้า

ก็เหมือนเห็นผลมะเดื่อรุ่นแรก

แต่เมื่อพวกเขามาที่บาอัลเปโอร์

พวกเขาก็อุทิศตัวแก่เทวรูปอันน่าอับอายนั้น

และชั่วช้าไปเหมือนสิ่งที่พวกเขารัก

11 ศักดิ์ศรีของเอฟราอิมจะบินหายลับไปเหมือนนก

ไม่มีการเกิด ไม่มีการตั้งครรภ์ และไม่มีการปฏิสนธิ

12 ถึงแม้พวกเขาจะเลี้ยงดูลูกๆ ได้

เราก็จะพรากทุกคนไปจากพวกเขา

วิบัติแก่พวกเขา

เมื่อเราหันหนีไปจากพวกเขา!

13 เราได้เห็นเอฟราอิม

ถูกปลูกไว้ในที่ร่มรื่นเช่นเดียวกับเมืองไทระ

แต่เอฟราอิมจะพาลูกๆ ของพวกเขา

ออกมาให้เพชฌฆาต”

14 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอโปรดประทาน

พระองค์จะประทานสิ่งใดแก่พวกเขา?

โปรดประทานครรภ์ที่แท้ง

และทรวงอกที่ไม่มีน้ำนม

15 “เพราะความชั่วร้ายทั้งปวงของพวกเขาในกิลกาล

ที่นั่นเราจึงเกลียดชังพวกเขา

เพราะการกระทำอันบาปหนาของพวกเขา

เราจะขับไล่พวกเขาออกจากนิเวศของเรา

เราจะไม่รักพวกเขาอีกต่อไป

ผู้นำทั้งหมดของพวกเขาเป็นคนชอบกบฏ

16 เอฟราอิมย่อยยับไปแล้ว

รากของพวกเขาเหี่ยวเฉา

พวกเขาไม่เกิดผล

ถึงแม้พวกเขามีลูก

เราก็จะประหารวงศ์วานที่รักยิ่งของพวกเขา”

17 พระเจ้าของข้าพเจ้าจะปฏิเสธพวกเขา

เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟังพระองค์

พวกเขาจะเป็นคนเร่ร่อนอยู่ท่ามกลางชนชาติต่างๆ

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/HOS/9-c3df2f6d1bba7f22c46ba5e8c0cfbe9d.mp3?version_id=179—

โฮเชยา 10

1 อิสราเอลเป็นองุ่นเถางาม

เขาเกิดผลเพื่อตัวเอง

เมื่อผลยิ่งดก

เขาก็ยิ่งสร้างแท่นบูชาเพิ่ม

เมื่อดินแดนของเขารุ่งเรืองขึ้น

เขาก็ตกแต่งหินศักดิ์สิทธิ์

2 จิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความหลอกลวง

และบัดนี้พวกเขาต้องรับโทษ

พระองค์จะทรงพังแท่นบูชาของพวกเขา

และทำลายหินศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา

3 แล้วพวกเขาจะพูดว่า “เราไม่มีกษัตริย์

เพราะเราไม่ได้ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า

แต่ถึงเรามีกษัตริย์

พวกเขาจะทำอะไรให้เราได้?”

4 พวกเขาสัญญาไว้มากมาย

ทำข้อตกลง

และสาบานเท็จ

ฉะนั้นการฟ้องร้องคดีจึงงอกงาม

เหมือนวัชพืชที่เป็นพิษในทุ่งนาที่ไถแล้ว

5 ประชาชนที่อาศัยในสะมาเรีย

กลัวเทวรูปลูกวัวที่เบธอาเวน

คนของพระนั้นจะคร่ำครวญถึงมัน

ปุโรหิตผู้ลุ่มหลงมันก็เช่นกัน

และบรรดาผู้ที่ชื่นชมในความโอ่อ่าตระการของพระนั้นก็เป็นไปด้วย

เพราะมันจะถูกเนรเทศออกไป

6 มันจะถูกนำไปอัสซีเรีย

เป็นเครื่องบรรณาการแก่กษัตริย์ผู้เกรียงไกร

เอฟราอิมจะอับอายขายหน้า

อิสราเอลจะอดสูเนื่องด้วยเทวรูปซึ่งทำด้วยไม้ของพวกเขา

7 สะมาเรียและกษัตริย์ของมันจะลอยหายไป

เหมือนเศษไม้ที่อยู่บนผิวน้ำ

8 เทวสถานแห่งความชั่วร้ายซึ่งอยู่บนที่สูงของอิสราเอลจะถูกทำลาย

มันเป็นบาปของอิสราเอล

พืชหนามจะงอกขึ้น

ปกคลุมแท่นบูชาของเขา

แล้วพวกเขาจะกล่าวแก่ภูเขาทั้งหลายว่า “ปกคลุมเราไว้เถิด!”

และบอกเนินเขาทั้งหลายว่า “ล้มมาทับเราเถิด!”

9 “อิสราเอลเอ๋ย เจ้าได้ทำบาปมาตั้งแต่สมัยกิเบอาห์

และเจ้ายังทำอยู่อย่างนั้นเรื่อยมา

สงครามไม่ได้เล่นงานคนทำชั่ว

ในกิเบอาห์หรอกหรือ?

10 เมื่อเราเห็นชอบ เราจะลงโทษพวกเขา

ชนชาติต่างๆ จะรวมตัวกันต่อสู้พวกเขา

คุมขังพวกเขาเนื่องด้วยบาปซ้อนบาปของพวกเขา

11 เอฟราอิมเป็นวัวสาวที่ฝึกปรือแล้ว

มันชอบนวดข้าว

ฉะนั้นเราจะวางแอก

บนคออันสวยงามของมัน

เราจะลงประตักใส่เอฟราอิม

ยูดาห์ต้องลากคันไถ

และยาโคบต้องไถพรวนดิน

12 จงหว่านความชอบธรรมเพื่อตัวเจ้าเอง

จงเก็บเกี่ยวผลแห่งความรักมั่นคง

จงไถพรวนเนื้อดินที่ยังแข็งกระด้างของเจ้า

เพราะถึงเวลาที่จะแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า

จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา

และโปรยความชอบธรรมลงบนพวกเจ้าดั่งสายฝน

13 แต่เจ้ากลับปลูกความชั่วช้า

เจ้าเก็บเกี่ยวความอธรรม

เจ้ากินผลแห่งการหลอกลวง

เพราะเจ้าพึ่งกำลังตัวเอง

เจ้าพึ่งนักรบมากมายของเจ้า

14 เสียงโห่ร้องของสงครามจะดังขึ้นสู้คนของเจ้า

ดังนั้นป้อมปราการทั้งหลายของเจ้าจะถูกทำลายย่อยยับ

เมื่อแม่ทั้งหลายกับลูกๆ ของนางจะถูกจับฟาดกับพื้น

ก็จะเป็นเหมือนอย่างชัลมันทำลายล้างเบธอาร์เบลในยามศึก

15 เบธเอลเอ๋ย มันจะเกิดขึ้นกับเจ้าอย่างนั้นแหละ

เพราะเจ้าชั่วร้ายยิ่งนัก

เมื่อรุ่งอรุณวันนั้นเริ่มขึ้น

กษัตริย์อิสราเอลจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/HOS/10-2260e8ffb493b14ca5b242160799b13e.mp3?version_id=179—

โฮเชยา 11

ความรักของพระเจ้าต่ออิสราเอล

1 “เมื่ออิสราเอลยังเด็กอยู่ เรารักเขา

เราเรียกบุตรของเราออกจากอียิปต์

2 แต่ยิ่งเราเรียกอิสราเอลมากเท่าใด

พวกเขายิ่งไกลห่างจากเรามากเท่านั้น

พวกเขาถวายเครื่องบูชาแก่พระบาอัล

และเผาเครื่องหอมถวายรูปปั้นต่างๆ

3 เรานี่แหละสอนให้เอฟราอิมหัดเดิน

เราโอบอุ้มพวกเขาไว้ในอ้อมแขน

แต่พวกเขาไม่ตระหนัก

ว่าเรานี่แหละเป็นผู้รักษาพวกเขาให้หาย

4 เรานำพวกเขาด้วยสายใยแห่งความเมตตา

และด้วยพันธะแห่งความรัก

เราปลดแอกจากคอของพวกเขา

และก้มลงมาป้อนอาหารพวกเขา

5 “พวกเขาจะไม่กลับไปยังอียิปต์หรือ

และอัสซีเรียจะไม่ปกครองพวกเขาหรือ

ในเมื่อพวกเขาไม่ยอมกลับใจ?

6 ดาบทั้งหลายจะกวัดแกว่งอยู่ในเมืองต่างๆ ของพวกเขา

จะทำลายดาลประตูของพวกเขา

และทำให้แผนการต่างๆ ของพวกเขาจบสิ้นลง

7 ประชากรของเราตั้งใจทิ้งเราไป

แม้ว่าพวกเขาจะร้องทูลต่อเราผู้สูงสุด

เราก็จะไม่เชิดชูพวกเขาเลย

8 “เอฟราอิมเอ๋ย เราจะปล่อยเจ้าหลุดมือไปได้อย่างไร?

อิสราเอลเอ๋ย เราจะยอมปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร?

เราจะปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนอัดมาห์ได้หรือ?

เราจะทำให้เจ้าเหมือนเศโบยิมได้อย่างไร?

จิตใจที่อยู่ภายในเราก็เปลี่ยนไป

ความเมตตาเอ็นดูของเราก็ได้รับการปลุกขึ้น

9 เราจะไม่ลงโทษเจ้าตามความโกรธอันรุนแรงของเรา

หรือหันมาทำลายล้างเอฟราอิมอีก

เพราะเราเป็นพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์

เป็นองค์บริสุทธิ์ท่ามกลางเจ้า

เราจะไม่มาด้วยความโกรธ

10 เขาจะติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า

พระองค์จะทรงเปล่งพระสุรเสียงดุจราชสีห์

เมื่อพระองค์ทรงเปล่งเสียงกึกก้อง

ลูกๆ ของพระองค์จะสั่นสะท้านกลับมาจากทางตะวันตก

11 เขาจะรีบรุดตัวสั่น

มาจากอียิปต์เหมือนนก

และมาจากอัสซีเรียเหมือนนกพิราบ

เราจะพาพวกเขากลับมายังบ้านเกิดเมืองนอนอีก”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

บาปของอิสราเอล

12 เอฟราอิมล้อมกรอบเราด้วยคำโกหก

พงศ์พันธุ์อิสราเอลห้อมล้อมเราด้วยการหลอกลวง

และยูดาห์ดื้อด้านแม้แต่กับพระเจ้า

ซึ่งเป็นองค์บริสุทธิ์ผู้ซื่อสัตย์

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/HOS/11-5e49db1f39906d212896774897837f1d.mp3?version_id=179—

โฮเชยา 12

1 เอฟราอิมเลี้ยงชีพด้วยลม

เขาติดตามลมตะวันออกทั้งวัน

เขาทวีการโกหกและความอำมหิต

เขาทำสัญญากับอัสซีเรีย

และส่งน้ำมันมะกอกไปยังอียิปต์

2 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดำเนินคดีกับยูดาห์

พระองค์จะทรงลงโทษยาโคบตามวิถีทางความประพฤติของเขา

และตอบแทนเขาตามการกระทำของเขา

3 เขาฉวยส้นเท้าของพี่ชายไว้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์

ครั้นหนุ่มใหญ่เขาก็ต่อสู้กับพระเจ้า

4 เขาสู้กับทูตสวรรค์และเอาชนะได้

เขาร่ำไห้อ้อนวอนขอความเมตตา

พระองค์ทรงพบเขาที่เบธเอล

และตรัสกับเขาที่นั่น

5 พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์

พระยาห์เวห์เป็นพระนามอันเกรียงไกรของพระองค์!

6 แต่เจ้าต้องกลับมาหาพระเจ้าของเจ้า

จงผดุงความรักและความยุติธรรม

และรอคอยพระเจ้าของเจ้าเสมอ

7 พวกพ่อค้าโกงตาชั่ง

เขารักการฉ้อฉล

8 เอฟราอิมโอ้อวดว่า

“เราร่ำรวยมากและกลายเป็นเศรษฐี

ด้วยทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเรา

พวกเขาจะไม่พบความชั่วช้าหรือบาปใดๆ ในเราเลย”

9 “เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า

ผู้พาเจ้าออกมาจากอียิปต์

เราจะทำให้เจ้าอาศัยอยู่ในเต็นท์อีกครั้ง

เหมือนเมื่อครั้งเทศกาลงานเลี้ยงตามกำหนดของเจ้า

10 เราพูดกับบรรดาผู้เผยพระวจนะ

ให้นิมิตมากมายแก่พวกเขา

และกล่าวคำอุปมาผ่านทางพวกเขา”

11 กิเลอาดชั่วร้ายหรือ?

ชาวเมืองนั้นไร้ค่านัก!

พวกเขาถวายวัวผู้ในกิลกาลหรือ?

แท่นบูชาของพวกเขาจะเป็นเหมือนกองหิน

บนทุ่งที่ไถแล้ว

12 ยาโคบหนีไปยังแดนอารัม

อิสราเอลปรนนิบัติรับใช้เพื่อจะได้ภรรยา

เขาเลี้ยงแกะเพื่อจ่ายเป็นค่าตัวนาง

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งนำอิสราเอลออกมาจากอียิปต์

ทรงใช้ผู้เผยพระวจนะดูแลอิสราเอล

14 แต่เอฟราอิมยั่วโทสะพระองค์อย่างรุนแรง

องค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาจะทรงปล่อยให้ความผิดเพราะการนองเลือดตกอยู่กับเขา

และจะตอบแทนการหมิ่นประมาทของพวกเขา

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/HOS/12-316fa6195c4e1f386ebfe332809793d8.mp3?version_id=179—

โฮเชยา 13

พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า

1 เมื่อเอฟราอิมกล่าว ผู้คนก็สั่นสะท้าน

เขาเป็นที่ยกย่องในอิสราเอล

แต่เขาก็มีความผิดและตายไปเพราะกราบไหว้พระบาอัล

2 บัดนี้ เขายิ่งทำบาปมากขึ้น

เขาใช้เงินทำรูปเคารพเพื่อตัวเขาเอง

เป็นเทวรูปที่ปั้นแต่งขึ้นอย่างชาญฉลาด

ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นผลงานของช่างฝีมือ

ผู้คนกล่าวถึงคนเหล่านี้ว่า

“พวกเขาใช้มนุษย์เป็นเครื่องบูชา

และจูบเทวรูปลูกวัว”

3 ฉะนั้นเขาจะเป็นเหมือนหมอกในยามเช้า

เหมือนน้ำค้างยามรุ่งอรุณซึ่งหายลับไป

เหมือนแกลบปลิวจากลานนวดข้าว

เหมือนควันที่ลอยออกไปทางหน้าต่าง

4 “แต่เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า

ผู้นำเจ้าออกมาจากอียิปต์

เจ้าจะไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา

และไม่มีผู้ช่วยให้รอดอื่นใดยกเว้นเรา

5 เราฟูมฟักดูแลเจ้าในทะเลทราย

ในดินแดนอันร้อนระอุ

6 เมื่อเราเลี้ยงดูพวกเขา พวกเขาก็อิ่มหนำ

เมื่ออิ่มหนำแล้ว พวกเขาก็หยิ่งผยองขึ้น

และลืมเรา

7 ดังนั้นเราจึงจู่โจมเข้าใส่พวกเขาเหมือนสิงโต

เราจะซุ่มอยู่ริมทางเหมือนเสือดาว

8 เหมือนแม่หมีที่ถูกขโมยลูกไป

เราจะเข้าโจมตีและฉีกพวกเขาออก

เราจะเป็นดั่งราชสีห์ที่กลืนกินพวกเขา

สัตว์ป่าจะฉีกพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ

9 “อิสราเอลเอ๋ย เจ้าถูกทำลายล้าง

เพราะเจ้าต่อสู้เราผู้ที่ช่วยเหลือเจ้า

10 ไหนล่ะกษัตริย์ของเจ้า ผู้ที่จะช่วยเจ้าได้?

ไหนล่ะเจ้าเมืองทั้งปวง

ที่เจ้าพูดว่า

‘ให้เรามีกษัตริย์และเจ้านายเถิด’?

11 ฉะนั้นเราจึงให้กษัตริย์แก่เจ้าด้วยโทสะของเรา

และเราก็พรากเขาไปด้วยความกริ้วโกรธของเรา

12 ความผิดของเอฟราอิมถูกสะสมไว้

และบาปของเขาถูกบันทึกไว้

13 เขาเจ็บปวดเหมือนหญิงใกล้คลอด

แต่เขาเป็นเด็กไร้สติปัญญา

เมื่อถึงเวลาแล้ว

เขาก็ไม่ยอมคลอดออกมา

14 “เราจะไถ่ตัวพวกเขาจากอำนาจของแดนผู้ตาย

เราจะไถ่เขาจากความตาย

ความตายเอ๋ย ไหนล่ะพิษสงของเจ้า?

แดนผู้ตายเอ๋ย ไหนล่ะหายนะของเจ้า?

“เราจะไม่มีความเมตตาสงสารเลย

15 ถึงแม้ว่าเขารุ่งโรจน์อยู่ในหมู่พี่น้อง

แต่ลมตะวันออกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึง

พัดกระหน่ำมาจากทะเลทราย

น้ำพุของเขาจะไม่ไหล

บ่อน้ำของเขาจะเหือดแห้ง

และคลังของเขาจะถูกปล้นชิง

เอาทรัพย์สมบัติไปหมด

16 ชาวสะมาเรียต้องรับโทษความผิดของตน

เพราะพวกเขากบฏต่อพระเจ้าของพวกเขา

พวกเขาจะล้มลงด้วยดาบ

ลูกอ่อนของพวกเขาจะถูกจับฟาดกับพื้น

และหญิงมีครรภ์ของพวกเขาจะถูกผ่าท้อง”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/HOS/13-3f20f5a34d58df55ef8ea36db5f8eaaa.mp3?version_id=179—

โฮเชยา 14

การกลับใจใหม่ซึ่งนำพระพรมา

1 อิสราเอลเอ๋ย จงหันกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าเถิด

ที่เจ้าล่มจมลงก็เพราะบาปทั้งหลายของเจ้า!

2 จงนำคำอ้อนวอนมาด้วย

และกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงทูลพระองค์ว่า

“ขอทรงอภัยบาปทั้งสิ้นของข้าพระองค์ทั้งหลาย

ขอทรงรับข้าพระองค์ทั้งหลายไว้ด้วยพระคุณ

เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะถวายคำสรรเสริญจากริมฝีปากของข้าพระองค์ทั้งหลาย

3 อัสซีเรียไม่อาจช่วยเหล่าข้าพระองค์ได้

ข้าพระองค์ทั้งหลายจะไม่พึ่งม้าศึก

จะไม่เรียกสิ่งที่มือของข้าพระองค์ทั้งหลายสร้างขึ้นนั้นว่า

‘บรรดาพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย’ อีกต่อไป

เพราะลูกกำพร้าพ่อจะพบความเมตตาสงสารในพระองค์”

4 “เราจะรักษาความดื้อด้านของพวกเขา

และจะรักพวกเขาอย่างเต็มที่

เพราะเราหายโกรธพวกเขาแล้ว

5 เราจะเป็นเหมือนน้ำค้างพร่างพรมให้อิสราเอล

เขาจะผลิบานดั่งดอกลิลลี่

เขาจะหยั่งรากลง

เหมือนสนซีดาร์แห่งเลบานอน

6 หน่ออ่อนของเขาจะเติบโตขึ้น

เขาจะงดงามรุ่งโรจน์เหมือนต้นมะกอก

และส่งกลิ่นหอมเหมือนสนซีดาร์แห่งเลบานอน

7 ผู้คนจะพักพิงในร่มเงาของเขาอีก

เขาจะเจริญงอกงามเหมือนเมล็ดข้าว

จะผลิบานเหมือนเถาองุ่น

ชื่อเสียงเลื่องลือเหมือนเหล้าองุ่นจากเลบานอน

8 เอฟราอิมเอ๋ย เราจะต้องเกี่ยวข้องอะไรกับรูปเคารพทั้งหลายอีก?

เราจะตอบเขาและห่วงใยดูแลเขา

เราเป็นเหมือนต้นสนเขียวชอุ่ม

เจ้าจะมีผลงอกงามเพราะเรา”

9 ผู้ใดเฉลียวฉลาด? ผู้นั้นจะประจักษ์สิ่งเหล่านี้

ผู้ใดมีวิจารณญาณ? ผู้นั้นจะเข้าใจ

วิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนถูกต้อง

ผู้ชอบธรรมดำเนินในวิถีทางเหล่านี้

แต่ผู้กบฏต่อพระเจ้าก็สะดุดอยู่ในทางของพระองค์

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/HOS/14-c7516445c1516d8428f7aa74a14bd1bc.mp3?version_id=179—

ดาเนียล 1

การฝึกฝนของดาเนียลในบาบิโลน

1 ในปีที่สามของรัชกาลกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนทรงกรีธาทัพมาล้อมกรุงเยรูซาเล็ม

2 และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์พร้อมทั้งภาชนะบางอย่างในพระวิหารของพระเจ้าไว้ในมือเนบูคัดเนสซาร์ เนบูคัดเนสซาร์ทรงนำสิ่งเหล่านี้ไปเก็บไว้ที่คลังของวิหารเทพเจ้าของตนในบาบิโลน

3 แล้วเนบูคัดเนสซาร์ตรัสบัญชาอัชเปนัสหัวหน้ากรมวังให้คัดเลือกชายหนุ่มอิสราเอลบางคนซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์และอยู่ในตระกูลขุนนาง

4 คนหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาดี ไม่พิกลพิการ เฉลียวฉลาดพร้อมที่จะเรียนรู้ ได้รับการศึกษาอบรมมาอย่างดี มีไหวพริบปฏิภาณ และคุณสมบัติเหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่ในพระราชวัง ให้อัชเปนัสสอนภาษาและวรรณคดีของชาวบาบิโลนแก่ชายหนุ่มเหล่านี้

5 กษัตริย์ทรงประทานอาหารและเหล้าองุ่นจากโต๊ะเสวยแก่คนเหล่านี้ทุกวันและให้พวกเขารับการฝึกฝนตลอดสามปี หลังจากนั้นจึงเข้ารับราชการ

6 ในกลุ่มชายหนุ่มเหล่านี้ มีบางคนจากยูดาห์ได้แก่ดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์

7 หัวหน้ากรมวังตั้งชื่อใหม่ให้พวกเขาดังนี้ ดาเนียลชื่อเบลเทชัสซาร์ ฮานันยาห์ชื่อชัดรัค มิชาเอลชื่อเมชาค และอาซาริยาห์ชื่ออาเบดเนโก

8 แต่ดาเนียลตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ยอมให้ตนเองเป็นมลทินเพราะเครื่องเสวย ทั้งอาหารและเหล้าองุ่น จึงขออนุญาตจากหัวหน้ากรมวังที่จะไม่ทำให้ตนเองเป็นมลทินอย่างนั้น

9 พระเจ้าทรงบันดาลให้หัวหน้ากรมวังชอบพอและเห็นใจดาเนียล

10 แต่เขาบอกดาเนียลว่า “เรากลัวเจ้าเหนือหัวซึ่งทรงเป็นผู้ประทานอาหารและเครื่องดื่มให้พวกเจ้า หากเราปล่อยให้พระองค์เห็นพวกเจ้าซูบซีดกว่าชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน พระองค์คงตัดหัวเราเพราะพวกเจ้า”

11 ดาเนียลจึงบอกผู้ดูแลซึ่งหัวหน้ากรมวังแต่งตั้งให้รับผิดชอบดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ว่า

12 “โปรดลองให้ผู้รับใช้ของท่านกินแต่ผักและดื่มแต่น้ำสักสิบวัน

13 แล้วเปรียบเทียบหน้าตาของพวกเรากับชายหนุ่มซึ่งรับประทานเครื่องเสวย จากนั้นเชิญท่านปฏิบัติต่อผู้รับใช้ตามที่ท่านเห็นควรเถิด”

14 ผู้ดูแลก็ตกลงตามนี้และให้พวกเขาทดลองดูสิบวัน

15 เมื่อครบสิบวันแล้ว ปรากฏว่าพวกเขาดูแข็งแรงและมีพลานามัยดีกว่าชายหนุ่มอื่นๆ ที่รับประทานเครื่องเสวย

16 ฉะนั้นผู้ดูแลจึงงดให้เครื่องเสวยและเหล้าองุ่น แต่ให้เขาทั้งสี่รับประทานผัก

17 พระเจ้าโปรดให้ชายหนุ่มทั้งสี่มีความรู้ความเข้าใจในวรรณกรรมและวิทยาการทุกอย่าง ตัวดาเนียลนั้นสามารถเข้าใจนิมิตและความฝันทุกประเภท

18 เมื่อครบกำหนดที่กษัตริย์ทรงบัญชา หัวหน้ากรมวังนำชายหนุ่มทั้งปวงที่คัดเลือกไว้เข้าเฝ้ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

19 กษัตริย์ทรงสนทนากับพวกเขาและทรงพบว่าไม่มีชายหนุ่มคนใดเทียบเคียงดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ได้ ทั้งสี่คนนี้จึงเข้ารับราชการอยู่ในราชสำนัก

20 กษัตริย์ทรงซักถามพวกเขาทุกเรื่องในด้านสติปัญญาและความเข้าใจ และทรงพบว่าพวกเขาดีเด่นกว่าพวกนักเล่นอาคมและนักเวทมนตร์ทั่วราชอาณาจักรถึงสิบเท่า

21 ดาเนียลรับราชการเรื่อยมาจวบจนปีที่หนึ่งแห่งรัชกาลกษัตริย์ไซรัส

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/DAN/1-9a8a2be7da1c64c736f11f06124ef2cc.mp3?version_id=179—

ดาเนียล 2

เนบูคัดเนสซาร์ทรงฝัน

1 ในปีที่สองแห่งรัชกาล เนบูคัดเนสซาร์ทรงฝัน แล้วทุกข์พระทัยมากจนบรรทมไม่หลับ

2 จึงรับสั่งให้นักเล่นอาคม นักเวทมนตร์ พ่อมดหมอผี และพวกโหราจารย์มาทูลให้ทรงทราบว่าทรงฝันเรื่องอะไร เมื่อพวกเขามาเข้าเฝ้า

3 กษัตริย์ตรัสกับเขาว่า “เราฝันไป ทำให้เราทุกข์ใจมาก เราอยากรู้ว่าฝันนั้นหมายถึงอะไร”

4 พวกโหราจารย์จึงกราบทูลเป็นภาษาอารเมคว่า “ขอฝ่าพระบาทจงทรงพระเจริญ! โปรดเล่าความฝันมาเถิด พวกข้าพระบาทจะทูลทำนายถวาย”

5 กษัตริย์ตรัสตอบเหล่าโหราจารย์ว่า “เราตั้งใจแน่วแน่แล้วว่า หากพวกเจ้าบอกเราไม่ได้ว่าเราฝันอะไรและหมายความว่าอะไร เราจะสับพวกเจ้าเป็นชิ้นๆ และทำลายบ้านเรือนของเจ้าให้กลายเป็นกองขยะ

6 แต่หากเจ้าเล่าความฝันและทำนายได้ เจ้าจะได้รับรางวัลและเกียรติยศยิ่งใหญ่ ฉะนั้นจงเล่าความฝันและแก้ฝันให้เราเถิด”

7 พวกเขาทูลอีกว่า “ขอฝ่าพระบาททรงเล่าความฝันให้ผู้รับใช้ฟังเถิด แล้วข้าพระบาททั้งหลายจะทำนายฝันถวาย”

8 กษัตริย์จึงตรัสว่า “เราแน่ใจว่าพวกเจ้าพยายามถ่วงเวลา เพราะพวกเจ้ารู้อยู่ว่าเราตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว

9 หากพวกเจ้าไม่บอกว่าเราฝันอะไรก็มีโทษทัณฑ์สถานเดียว พวกเจ้าสมรู้ร่วมคิดกันพูดล่อหลอกเราเพราะหวังว่าเราจะเปลี่ยนใจ จงเล่าความฝันมาสิ เราจะได้รู้ว่าเจ้าแก้ฝันให้เราได้”

10 โหราจารย์ทั้งหลายทูลว่า “ไม่มีใครในโลกนี้สามารถทำอย่างที่ฝ่าพระบาทประสงค์ได้! ไม่มีกษัตริย์องค์ใดจะถามเช่นนี้จากผู้เล่นอาคม นักเวทมนตร์ หรือโหราจารย์ได้ ไม่ว่ากษัตริย์องค์นั้นจะยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพียงใด

11 สิ่งที่ฝ่าพระบาทให้ทำนี้ยากเกินวิสัยมนุษย์จะทำได้ มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นจะบอกได้และเทพเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในหมู่มนุษย์”

12 เมื่อได้ยินเช่นนี้ กษัตริย์ทรงพระพิโรธยิ่งนักและตรัสสั่งให้ประหารชีวิตปราชญ์ทั้งหมดในกรุงบาบิโลน

13 ดังนั้นจึงมีพระราชกฤษฎีกาออกมาให้ประหารชีวิตพวกนักปราชญ์ แล้วก็มีคนไปตามตัวดาเนียลกับเพื่อนเพื่อนำตัวไปประหาร

14 เมื่ออารีโอคผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ออกไปเพื่อประหารปราชญ์ของบาบิโลน ดาเนียลจึงเจรจากับเขาด้วยสติปัญญาและปฏิภาณ

15 ดาเนียลถามเขาว่า “เหตุใดกษัตริย์ทรงออกพระราชกฤษฎีการุนแรงถึงเพียงนี้?” อารีโอคก็อธิบายให้ฟัง

16 ดาเนียลจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์เพื่อทูลขอเวลา เพื่อจะทูลความหมายของความฝันให้ทรงทราบ

17 จากนั้นดาเนียลกลับไปบ้านและเล่าเรื่องให้ฮานันยาห์ มิชาเอล กับอาซาริยาห์ผู้เป็นเพื่อนฟัง

18 แล้วเร่งเร้าให้พวกเขาอธิษฐานขอต่อพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ที่จะทรงกรุณาในเรื่องล้ำลึกนี้ด้วย เพื่อดาเนียลกับเพื่อนๆ จะไม่ถูกประหารไปพร้อมกับปราชญ์คนอื่นๆ ในบาบิโลน

19 คืนนั้นพระเจ้าทรงสำแดงความล้ำลึกนี้แก่ดาเนียลในนิมิต ดาเนียลจึงสรรเสริญพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์

20 และกล่าวว่า

“สรรเสริญพระนามของพระเจ้าชั่วนิจนิรันดร์

สติปัญญาและฤทธิ์อำนาจเป็นของพระองค์

21 พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงวาระเวลาและฤดูกาล

ทรงแต่งตั้งและถอดถอนกษัตริย์

พระองค์ประทานสติปัญญาแก่ผู้เฉลียวฉลาด

และประทานความรู้แก่ผู้ที่ฉลาดหลักแหลม

22 พระองค์ทรงเผยสิ่งที่ลึกซึ้งและซ่อนเร้นอยู่

ทรงทราบสิ่งที่แฝงอยู่ในความมืด

และความสว่างอยู่กับพระองค์

23 ข้าแต่พระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอบพระคุณและสรรเสริญพระองค์

พระองค์ประทานสติปัญญาและฤทธิ์อำนาจแก่ข้าพระองค์

พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์ทราบสิ่งที่ทูลขอจากพระองค์

ทรงทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบความฝันของกษัตริย์”

ดาเนียลทำนายฝัน

24 แล้วดาเนียลไปพบอารีโอคซึ่งกษัตริย์ทรงใช้ให้ไปประหารชีวิตเหล่านักปราชญ์ของบาบิโลน ดาเนียลกล่าวกับเขาว่า “อย่าประหารเหล่านักปราชญ์ของบาบิโลนเลย โปรดนำข้าพเจ้าไปเข้าเฝ้ากษัตริย์เพื่อทำนายฝันถวาย”

25 อารีโอคจึงพาดาเนียลไปเข้าเฝ้าทันทีและทูลว่า “ข้าพระบาทพบชายผู้หนึ่งในหมู่เชลยที่มาจากยูดาห์ซึ่งสามารถกราบทูลว่าความฝันนั้นหมายความว่าอะไร”

26 กษัตริย์ตรัสถามดาเนียล (หรือที่เรียกกันว่า เบลเทชัสซาร์) ว่า “เจ้าสามารถเล่าสิ่งที่เราฝันและแก้ฝันให้ได้หรือ?”

27 ดาเนียลทูลตอบว่า “ไม่มีปราชญ์ นักเวทมนตร์ นักเล่นคาถาอาคม และโหรคนใดสามารถทูลความล้ำลึกที่ฝ่าพระบาทตรัสถามนั้นได้

28 แต่มีพระเจ้าองค์หนึ่งในฟ้าสวรรค์ผู้ทรงเปิดเผยสิ่งล้ำลึก และได้ทรงสำแดงให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันและนิมิตซึ่งผ่านเข้ามาในพระดำริขณะฝ่าพระบาทบรรทมอยู่บนพระแท่นมีดังนี้

29 “ข้าแต่กษัตริย์ ขณะฝ่าพระบาทบรรทมอยู่และทรงดำริถึงสิ่งต่าง ๆที่จะเกิดขึ้น พระเจ้าผู้ทรงเปิดเผยความล้ำลึกก็ทรงแสดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น

30 ที่พระเจ้าทรงโปรดให้ความล้ำลึกนี้ประจักษ์แจ้งแก่ข้าพระบาท ไม่ใช่เพราะข้าพระบาทมีสติปัญญามากกว่าคนอื่นๆ แต่เพื่อฝ่าพระบาทจะทรงทราบความหมายและเข้าใจสิ่งที่เข้ามาในพระดำริ

31 “ข้าแต่กษัตริย์ ฝ่าพระบาทได้ทอดพระเนตรเห็นรูปปั้นมหึมาตั้งอยู่ต่อหน้าเปล่งประกายเจิดจ้า มีลักษณะน่าครั่นคร้าม

32 ศีรษะของรูปปั้นนั้นทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ หน้าอกและแขนทำด้วยเงิน ท้องและต้นขาทำด้วยทองสัมฤทธิ์

33 ขาทำด้วยเหล็ก เท้าเป็นเหล็กปนดินเหนียว

34 ขณะฝ่าพระบาททอดพระเนตรอยู่นั้น ก็มีหินก้อนหนึ่งถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้นกระแทกเท้าของรูปปั้นซึ่งทำด้วยเหล็กปนดินเหนียวแตกกระจาย

35 แล้วเหล็ก ดินเหนียว ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ ก็แหลกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นเหมือนแกลบที่ลานนวดข้าวในฤดูร้อน ซึ่งลมพัดปลิวหายไปไม่เหลือร่องรอยไว้เลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้นกลับกลายเป็นภูเขามหึมาปกคลุมทั่วโลก

36 “นั่นคือความฝัน บัดนี้ข้าพระบาทขอทูลความหมายให้ทรงทราบ

37 ฝ่าพระบาททรงเป็นจอมกษัตริย์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี อำนาจ ความเกรียงไกร และเกียรติแก่ฝ่าพระบาท

38 พระองค์ทรงมอบมนุษยชาติ สัตว์ป่าในท้องทุ่ง และนกในอากาศไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท พระเจ้าทรงให้ฝ่าพระบาทครอบครองสิ่งเหล่านั้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฝ่าพระบาทคือศีรษะที่ทำด้วยทองคำนั้น

39 “หลังจากฝ่าพระบาทแล้ว จะมีอีกอาณาจักรหนึ่งรุ่งเรืองขึ้นมาแต่ด้อยกว่าของฝ่าพระบาท จากนั้นเป็นอาณาจักรที่สามคือทองสัมฤทธิ์ซึ่งจะปกครองทั่วโลก

40 ท้ายสุดคืออาณาจักรที่สี่ซึ่งแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก เหล็กฟาดฟันทุกสิ่งให้ย่อยยับ อาณาจักรนั้นจะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงให้ยับเยิน เหมือนเหล็กที่ทำให้สิ่งอื่นๆ แหลกลาญ

41 ตามที่ฝ่าพระบาทเห็นว่าเท้าและนิ้วเท้าเป็นดินเหนียวปนเหล็ก แสดงว่าอาณาจักรนี้แยกออกเป็นส่วนๆ แต่ก็จะมีกำลังแข็งแกร่งเหมือนเหล็กอยู่บ้าง ตามที่ฝ่าพระบาทเห็นเป็นเหล็กปนดินเหนียว

42 ดังที่นิ้วเท้าเป็นดินเหนียวปนเหล็ก อาณาจักรนี้ก็จะมีส่วนที่แข็งแกร่งและส่วนที่เปราะบาง

43 และตามที่ฝ่าพระบาททรงเห็นเหล็กปนกับดินเหนียว ประชาชนก็จะผสมผสานแต่ไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งก็ไม่ต่างจากเหล็กผสมดินเหนียว

44 “ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่งซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล

45 นี่คือความหมายของนิมิตเรื่องหินที่ถูกสกัดจากภูเขา ซึ่งไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ หินซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงิน และทองคำให้แตกกระจาย

“พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันนี้เป็นความจริงและการตีความนี้ก็เชื่อถือได้”

46 แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ทรงทรุดองค์ลงกราบดาเนียล และรับสั่งให้นำเครื่องบูชากับเครื่องหอมมาถวายดาเนียล

47 กษัตริย์ตรัสกับดาเนียลว่า “พระเจ้าของท่านทรงเป็นพระเจ้าเหนือพระทั้งหลายแน่นอน ทรงเป็นจอมราชันและทรงเป็นผู้เปิดเผยความล้ำลึกทั้งมวล เพราะท่านสามารถเปิดเผยความล้ำลึกนี้ได้”

48 แล้วกษัตริย์ทรงแต่งตั้งดาเนียลให้ดำรงตำแหน่งสูง และประทานบำเหน็จรางวัลมากมาย ทรงตั้งให้ปกครองบาบิโลนทั้งมณฑลและให้ดูแลปราชญ์ทั้งปวงของบาบิโลน

49 ยิ่งกว่านั้นกษัตริย์ทรงแต่งตั้งชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกให้เป็นผู้บริหารมณฑลบาบิโลนตามที่ดาเนียลทูลขอ ส่วนดาเนียลเองอยู่ที่ราชสำนัก

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/DAN/2-33e95df81ab4d0fa64277bfb195b7bec.mp3?version_id=179—

ดาเนียล 3

เทวรูปทองคำและเตาไฟร้อนแรง

1 กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ทรงสร้างเทวรูปทองคำสูงถึง 60 ศอก กว้าง 6 ศอกตั้งไว้ในที่ราบดูราในมณฑลบาบิโลน

2 แล้วทรงให้เรียกเสนาบดี ข้าหลวงภาค ผู้ว่าการ ราชมนตรี ขุนคลัง ผู้พิพากษา ตุลาการ และเจ้าหน้าที่ของทุกมณฑลมาชุมนุมเพื่อร่วมงานฉลองเทวรูปซึ่งสถาปนาขึ้นนั้น

3 คนเหล่านั้นก็มาร่วมฉลองและยืนอยู่หน้าเทวรูปที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงสร้างขึ้น

4 แล้วมีเสียงป่าวประกาศว่า “บรรดาพลเมืองทุกชาติทุกภาษา มีพระราชโองการว่า

5 ทันทีที่พวกเจ้าได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิด จงหมอบกราบลงนมัสการเทวรูปทองคำที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สร้างขึ้น

6 ผู้ใดก็ตามที่ไม่ยอมหมอบกราบลงนมัสการ จะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที”

7 ฉะนั้นทันทีที่คนทั้งหลายได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ และเสียงดนตรีทุกชนิด พลเมืองทั้งปวงจากทุกชาติทุกภาษาก็หมอบกราบลงนมัสการเทวรูปทองคำที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงสร้างขึ้น

8 ในครั้งนั้นมีโหราจารย์บางคนมาทูลฟ้องกษัตริย์เรื่องชาวยิว

9 พวกเขามาทูลเนบูคัดเนสซาร์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอจงทรงพระเจริญ!

10 ฝ่าพระบาททรงประกาศพระราชกฤษฎีกาว่า ทุกคนที่ได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิด ให้หมอบกราบลงนมัสการเทวรูปทองคำ

11 และผู้ใดที่ไม่ยอมหมอบกราบลงนมัสการจะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที

12 แต่มีชาวยิวบางคนคือ ชัดรัค เมชาคและอาเบดเนโกที่ฝ่าพระบาททรงแต่งตั้งให้ดูแลมณฑลบาบิโลนนั้นไม่ยอมทำตามพระบัญชา เขาเหล่านั้นไม่กราบไหว้เทพเจ้าต่างๆ ของฝ่าพระบาท และไม่ยอมนมัสการเทวรูปทองคำที่ฝ่าพระบาททรงสร้างขึ้น”

13 เนบูคัดเนสซาร์จึงทรงพระพิโรธยิ่งนัก และตรัสสั่งให้นำตัวชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกมาเข้าเฝ้า

14 แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ชัดรัค เมชาคและอาเบดเนโก จริงหรือที่พวกเจ้าไม่ยอมปรนนิบัติเทพเจ้าของเรา หรือนมัสการเทวรูปทองคำที่เราสร้างขึ้น

15 บัดนี้หากพวกเจ้าได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิดประโคมขึ้นแล้ว ถ้าพวกเจ้าพร้อมที่จะหมอบกราบนมัสการเทวรูปที่เราสร้างขึ้นก็ดี แต่หากพวกเจ้าไม่นมัสการจะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที แล้วเทพเจ้าองค์ใดเล่าจะสามารถช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากมือเราไปได้?”

16 ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกทูลกษัตริย์ว่า “ข้าแต่เนบูคัดเนสซาร์ ข้าพระบาททั้งหลายไม่จำเป็นต้องทูลแก้ต่างให้ตนเองต่อฝ่าพระบาทในเรื่องนี้

17 หากข้าพระบาทถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชน ข้าแต่กษัตริย์ พระเจ้าที่ข้าพระบาททั้งหลายปรนนิบัตินั้นจะทรงกอบกู้และทรงช่วยข้าพระบาททั้งหลายให้พ้นจากเงื้อมพระหัตถ์ของฝ่าพระบาทได้

18 แต่ถึงแม้พระองค์ไม่ทรงช่วย ข้าแต่กษัตริย์ ก็ขอฝ่าพระบาททรงทราบเถิดว่า ข้าพระบาทจะไม่ยอมปรนนิบัติเทพเจ้าของฝ่าพระบาทหรือนมัสการเทวรูปทองคำที่ทรงตั้งขึ้นเป็นอันขาด”

19 เนบูคัดเนสซาร์จึงทรงพระพิโรธชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกยิ่งนัก พระทัยที่เคยปรานีต่อพวกเขาก็เปลี่ยนไป และตรัสสั่งให้โหมไฟในเตาให้ร้อนแรงขึ้นอีกเจ็ดเท่า

20 แล้วสั่งให้ทหารที่กำยำที่สุดในกองทัพจับชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกมามัดและโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชน

21 พวกทหารจึงจับคนทั้งสามมัดและโยนเข้าไปในเตาไฟร้อนแรง ทั้งๆ ที่คนทั้งสามยังโพกผ้า สวมเสื้อ กางเกง และเครื่องแต่งกายอื่นๆ อยู่

22 คำสั่งของกษัตริย์เร่งด่วนมาก และเตาไฟก็ร้อนแรงจนเปลวไฟแลบออกมา แผดเผาเหล่าทหารที่จับชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกโยนเข้าไปในเตานั้นสิ้นชีวิต

23 คนทั้งสามที่ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนาก็ถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชน

24 แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ทรงลุกขึ้นทันทีด้วยความประหลาดพระทัย และตรัสถามบรรดาราชมนตรีว่า “เรามัดสามคนโยนเข้าไปในเตาไฟไม่ใช่หรือ?”

ราชมนตรีทูลว่า “ใช่แล้วพระเจ้าข้า”

25 กษัตริย์ตรัสว่า “แต่ดูสิ เราเห็นสี่คนเดินอยู่ในเตาไฟ ไม่ได้ถูกมัดหรือเป็นอันตรายแต่อย่างใด และคนที่สี่นั้นก็ดูเหมือนเทพบุตร”

26 เนบูคัดเนสซาร์จึงเสด็จไปที่ประตูของเตาไฟอันร้อนแรงนั้น และทรงร้องเรียกว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกผู้รับใช้ของพระเจ้าสูงสุดเอ๋ย จงออกมาเถิด! จงออกมานี่!”

ดังนั้นชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกจึงออกมาจากไฟ

27 บรรดาเสนาบดี ข้าหลวงภาค ผู้ว่าการ และราชมนตรีต่างมาห้อมล้อมคนทั้งสาม เห็นว่าไฟไม่ได้ทำอันตรายร่างกายของเขาเลย ผมก็ไม่ได้ไหม้ไปแม้สักเส้น เสื้อผ้าก็ไม่ได้ถูกเผาไหม้ ไม่มีแม้แต่กลิ่นไหม้

28 เนบูคัดเนสซาร์จึงตรัสว่า “ขอสรรเสริญพระเจ้าของชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ผู้ทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาช่วยผู้รับใช้ของพระองค์! พวกเขาไว้วางใจในพระเจ้า ละเมิดคำสั่งของกษัตริย์ และยอมตายเสียดีกว่ายอมปรนนิบัตินมัสการพระอื่นใดเว้นแต่พระเจ้าของตน

29 ฉะนั้นเราขอประกาศกฤษฎีกาว่า ไม่ว่าพลเมืองชาติใดภาษาใดกล่าววาจาล่วงเกินพระเจ้าของชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกจะถูกฟันเป็นท่อนๆ และบ้านเรือนของเขาจะถูกพังทลายเป็นกองขยะ เพราะไม่มีเทพเจ้าอื่นใดสามารถช่วยได้ถึงเพียงนี้”

30 แล้วกษัตริย์ทรงเลื่อนตำแหน่งให้ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกให้สูงขึ้นในมณฑลบาบิโลน

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/DAN/3-fea378a7cddec360660065ee2e1b040d.mp3?version_id=179—

ดาเนียล 4

นิมิตของเนบูคัดเนสซาร์เรื่องต้นไม้ใหญ่

1 เรากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ถึงท่านทั้งหลายผู้เป็นพลเมืองทุกชาติทุกภาษาทั่วโลก ขอให้ท่านเจริญรุ่งเรือง!

2 เราเห็นควรที่จะแจ้งให้ทราบถึงหมายสำคัญและปาฏิหาริย์ที่พระเจ้าสูงสุดทรงกระทำเพื่อเรา

3 หมายสำคัญของพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือล้ำ

การอัศจรรย์ของพระองค์เกรียงไกรยิ่งนัก

ราชอาณาจักรของพระองค์ดำรงนิรันดร์

ทรงครอบครองอยู่ตลอดทุกชั่วอายุ

4 เรา เนบูคัดเนสซาร์ อยู่ในวังอย่างผาสุกและรุ่งเรือง

5 ขณะนอนอยู่บนเตียงเราได้ฝัน ทำให้ตกใจกลัว ภาพและนิมิตต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในความคิดทำให้ตระหนกตกใจ

6 เราจึงสั่งให้นำปราชญ์ของบาบิโลนทั้งหมดมาทำนายฝันให้

7 เมื่อบรรดานักเล่นอาคม นักเวทมนตร์ โหราจารย์และหมอดูฤกษ์ยามมาแล้วเราก็แจ้งความฝันให้ฟัง แต่พวกเขาไม่สามารถแก้ฝันให้ได้

8 แล้วดาเนียลก็มาเข้าเฝ้า เราจึงเล่าความฝันให้ฟัง (เขามีอีกชื่อหนึ่งว่า เบลเทชัสซาร์ ตามชื่อเทพเจ้าองค์หนึ่ง วิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเขา)

9 เรากล่าวว่า “เบลเทชัสซาร์ หัวหน้านักเล่นอาคมเอ๋ย เรารู้ว่าวิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเจ้า และไม่มีความล้ำลึกใดๆ ยากเกินความเข้าใจของเจ้า เราฝันเช่นนี้ จงแก้ฝันให้เราเถิด

10 ขณะนอนอยู่บนเตียง เราเห็นนิมิตคือเรามองไปเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่ตรงกลางแผ่นดิน มันสูงใหญ่มาก

11 ต้นไม้นั้นเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งจนยอดสูงจรดฟ้า แม้แต่สุดโลกก็ยังมองเห็น

12 ใบของมันงามน่าดู ผลก็ดกเต็มต้น มันให้อาหารแก่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง บรรดาสัตว์ในท้องทุ่งมาพักพิงใต้ร่มของมัน เหล่านกในอากาศมาอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของมัน บรรดาสิ่งมีชีวิตเลี้ยงชีพด้วยผลของมัน

13 “ขณะนอนอยู่บนเตียง เราเห็นนิมิตคือ เรามองไปเห็นทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ลงมาจากฟ้าสวรรค์

14 เขาประกาศก้องว่า ‘โค่นต้นไม้ลง ลิดกิ่งออก ตัดใบทิ้งให้หมด และสลัดผลให้เกลื่อนกระจาย ไล่สัตว์ทั้งหลายออกจากใต้ร่ม และไล่นกออกจากกิ่งต่างๆ ไป

15 แต่จงทิ้งตอกับรากไว้ เอาโซ่เหล็กและโซ่ทองสัมฤทธิ์ล่ามทิ้งไว้อย่างนั้นกลางดงหญ้าในทุ่ง

“ ‘ให้กายเขาเปียกชุ่มด้วยน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ ให้เขาอาศัยอยู่กับสัตว์ท่ามกลางพืชพันธุ์ต่างๆ ของแผ่นดินโลก

16 ให้ความคิดจิตใจของเขาเปลี่ยนจากมนุษย์กลายเป็นเหมือนสัตว์จนครบเจ็ดวาระ

17 “ ‘เหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์เป็นผู้แจ้งคำตัดสินนี้ เพื่อผู้มีชีวิตอยู่จะรู้ว่าพระเจ้าสูงสุดทรงครอบครองเหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ตามแต่ชอบพระทัย ทรงแต่งตั้งผู้ต่ำต้อยที่สุดให้ปกครองพวกเขา’

18 “นี่เป็นความฝันของเรา กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ บัดนี้เบลเทชัสซาร์เอ๋ย บอกเรามาเถิดว่าฝันนี้หมายความว่าอะไร เพราะไม่มีปราชญ์คนใดในอาณาจักรของเราแก้ฝันให้เราได้ แต่เจ้าทำได้เพราะวิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเจ้า”

ดาเนียลทำนายฝัน

19 แล้วดาเนียล (หรือเบลเทชัสซาร์) ก็ตกตะลึงและว้าวุ่นใจอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ความคิดของเขาทำให้เขาหวาดวิตก กษัตริย์จึงตรัสว่า “เบลเทชัสซาร์เอ๋ย อย่าให้ความฝันหรือความหมายของมันทำให้เจ้าตกใจกลัวไปเลย”

เบลเทชัสซาร์ทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอให้ความฝันและความหมายของมันตกแก่ศัตรูของฝ่าพระบาทเถิด!

20 ต้นไม้ที่ฝ่าพระบาทเห็นซึ่งเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ยอดสูงจรดฟ้าจนสุดโลกยังมองเห็น

21 ซึ่งมีใบสวยงาม ให้ผลดกเป็นอาหารแก่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง ให้ร่มเงาแก่บรรดาสัตว์ในท้องทุ่ง และมีกิ่งก้านให้เหล่านกมาอาศัยทำรัง

22 ข้าแต่กษัตริย์ ต้นไม้นั้นคือฝ่าพระบาท ทรงยิ่งใหญ่เกรียงไกร รุ่งโรจน์เทียมฟ้า และแผ่อำนาจไปถึงสุดโลก

23 “ข้าแต่กษัตริย์ ที่ฝ่าพระบาทเห็นทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ลงมาจากฟ้าสวรรค์ และป่าวประกาศว่า ‘จงโค่นต้นไม้ลงและทำลายมันเสีย แต่เหลือตอไว้ ล่ามมันไว้กลางทุ่งหญ้าด้วยเหล็กและทองสัมฤทธิ์ ขณะที่รากยังหยั่งลึกอยู่ในดิน ให้เขาตากน้ำค้างและอาศัยอยู่เยี่ยงสัตว์ป่าจนครบเจ็ดวาระ’

24 “ข้าแต่กษัตริย์ นิมิตนั้นมีความหมายดังนี้ประกาศิตขององค์ผู้สูงสุดเกี่ยวกับฝ่าพระบาทคือ

25 ฝ่าพระบาทจะถูกขับไล่จากมวลมนุษย์และให้ไปใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์ป่า จะกินหญ้าเหมือนวัวและตากน้ำค้างจนครบเจ็ดวาระจนกว่าฝ่าพระบาทจะเรียนรู้ว่าองค์ผู้สูงสุดทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ พระองค์จะประทานอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ตามแต่ชอบพระทัย

26 พระบัญชาที่ให้เหลือตอและรากไว้หมายความว่า ฝ่าพระบาทจะได้รับอาณาจักรกลับคืนมาอีก หลังจากทรงเรียนรู้แล้วว่าพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์นั้นครอบครองอยู่

27 ฉะนั้นข้าแต่กษัตริย์ ขอโปรดยอมรับคำแนะนำของข้าพระบาท ขอทรงละทิ้งบาปด้วยการทำสิ่งที่ถูกต้อง และขอทรงละทิ้งความชั่วด้วยการเมตตากรุณาผู้ที่ถูกกดขี่ข่มเหง แล้วฝ่าพระบาทจะได้ทรงเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป”

ฝันเป็นจริง

28 เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์คือ

29 สิบสองเดือนต่อมา ขณะที่กษัตริย์ทรงดำเนินอยู่บนดาดฟ้าพระราชวังของบาบิโลน

30 พระองค์ตรัสว่า “เราได้สร้างบาบิโลนอันยิ่งใหญ่ไพศาลนี้ขึ้นเป็นราชวังด้วยฤทธิ์อำนาจอันเกรียงไกรของเราและเพื่อเกียรติบารมีของเราไม่ใช่หรือ?”

31 กษัตริย์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงดังจากฟ้าสวรรค์ว่า “กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เอ๋ย นี่คือประกาศิตสำหรับเจ้า ราชอำนาจถูกพรากไปจากเจ้าแล้ว

32 เจ้าจะถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ให้ไปอาศัยอยู่กับสัตว์ป่า ให้กินหญ้าเหมือนวัวจนครบเจ็ดวาระ ตราบจนเจ้าเรียนรู้ว่าองค์ผู้สูงสุดทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ พระองค์จะประทานอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ตามแต่ชอบพระทัย”

33 ทันใดนั้นเนบูคัดเนสซาร์ก็เป็นไปตามประกาศิตของพระเจ้า พระองค์ทรงถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ และกินหญ้าเหมือนวัว กายนั้นเปียกชุ่มด้วยน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ จนกระทั่งผมยาวเหมือนขนนกอินทรีและมีเล็บยาวเหมือนกรงเล็บของนก

34 เมื่อครบกำหนดแล้ว เรา เนบูคัดเนสซาร์แหงนหน้าขึ้นมองดูฟ้าสวรรค์ สติสัมปชัญญะก็กลับคืนมา เราจึงถวายสรรเสริญองค์ผู้สูงสุด เราเทิดพระเกียรติและถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์

ราชอำนาจของพระองค์ดำรงนิรันดร์

ราชอาณาจักรของพระองค์ยืนยงตลอดทุกชั่วอายุ

35 มวลประชาชาติในโลกนี้ล้วนไร้ค่า

พระองค์ทรงมีอำนาจ

ที่จะทำต่อเหล่าทูตสวรรค์

และต่อมวลประชาชาติตามชอบพระทัยของพระองค์

ไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์

หรือกล่าวกับพระองค์ได้ว่า “พระองค์ทำอะไรนี่?”

36 ขณะนั้นสติสัมปชัญญะของเรากลับคืนมา เกียรติและบารมีกลับคืนมาสู่เรา เพื่อสง่าราศีแห่งอาณาจักรของเรา ราชมนตรีและขุนนางทั้งหลายมาตามหาเรา ให้กลับไปครองราชบัลลังก์ดังเดิมและรุ่งเรืองยิ่งกว่าแต่ก่อน

37 บัดนี้ เราเนบูคัดเนสซาร์ขอถวายสรรเสริญและยกย่องเทิดทูนองค์กษัตริย์แห่งฟ้าสวรรค์ เพราะทุกสิ่งที่ทรงกระทำนั้นถูกต้อง และทางทั้งปวงของพระองค์ก็ยุติธรรม บรรดาผู้ดำเนินชีวิตอย่างหยิ่งยโส พระองค์สามารถกระทำให้เขาถ่อมลง

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/DAN/4-5d26335f37a2d14c6c84347ce26271c5.mp3?version_id=179—