อพยพ 39

เครื่องแต่งกายปุโรหิต

1 เขาใช้ด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดงทอเครื่องแต่งกายเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในสถานนมัสการและเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์สำหรับอาโรนตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส

เอโฟด

2 พวกเขาทำเอโฟดโดยใช้ทองคำ ด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดง และผ้าลินินเนื้อดี

3 พวกเขาเอาทองมาตีแผ่จนบาง ตัดเป็นเส้นๆ เพื่อจะทอเข้าไปกับผ้าลินินเนื้อดี ด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดง นี่เป็นผลงานของช่างฝีมือผู้ชำนาญ

4 พวกเขาทำแถบสองชิ้นที่บ่าสำหรับเอโฟดไว้โยงมุมสำหรับผูกเข้าด้วยกัน

5 ทำสายคาดเอวอย่างประณีตด้วยทองคำ ด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดง และผ้าลินินเนื้อดีทอเข้าเป็นชิ้นเดียวกับเอโฟดตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส

6 พวกเขานำโกเมนสองชิ้นฝังบนเรือนทองและสลักชื่อบุตรชายทั้งหลายของอิสราเอลเหมือนกรรมวิธีสลักแหวนตรา

7 แล้วพวกเขาติดเข้ากับแถบบ่าของเอโฟด เป็นหินอนุสรณ์ถึงประชากรอิสราเอลตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส

ทับทรวง

8 พวกเขาทำทับทรวงโดยช่างฝีมือผู้ชำนาญโดยใช้ทองคำ ด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดง และผ้าลินินเนื้อดีเหมือนกับที่ใช้ทำเอโฟด

9 เป็นผืนสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดกว้างยาวด้านละหนึ่งคืบพับเป็นสองทบ

10 แล้วพวกเขาฝังอัญมณีสี่แถวเข้ากับทับทรวง แถวแรกได้แก่ ทับทิม บุษราคัม และนิล

11 แถวที่สองได้แก่ พลอยขี้นกการเวก ไพฑูรย์ และมรกต

12 แถวที่สามได้แก่ พลอยสีม่วง โมรา และเพทายม่วง

13 แถวที่สี่ได้แก่ เพทาย โกเมน และมณีโชติ ทั้งหมดนี้ฝังไว้บนเรือนทอง

14 อัญมณีสิบสองเม็ดนี้แต่ละเม็ดสลักชื่อบุตรชายแต่ละคนของอิสราเอลแทนทั้งสิบสองเผ่าเหมือนสลักตรา

15 พวกเขายังได้ทำสร้อยเกลียวทองคำบริสุทธิ์ลักษณะคล้ายเชือกสำหรับทับทรวง

16 และทำเรือนทองสองเรือนกับห่วงทองคำสองห่วง ติดห่วงทองคำทั้งสองเข้ากับมุมทั้งสองของทับทรวง

17 เขาคล้องสร้อยเกลียวทองสองสายเข้ากับห่วงที่มุมทับทรวง

18 และติดปลายอีกด้านของสร้อยเกลียวเข้ากับเรือนทองทั้งสอง แล้วติดเข้ากับแถบบ่าทั้งสองของเอโฟดตรงด้านหน้า

19 เขาทำห่วงทองคำสองห่วงติดกับอีกสองมุมของทับทรวงตรงขอบด้านในชิดกับเอโฟด

20 และทำห่วงทองคำอีกสองห่วงติดที่ปลายล่างของแถบบ่าตรงด้านหน้าของเอโฟด ชิดกับตะเข็บเหนือสายคาดเอวของเอโฟด

21 เขาผูกห่วงของทับทรวงเข้ากับห่วงของเอโฟดโดยใช้ด้ายถักสีน้ำเงินติดเข้ากับสายคาดเอว เพื่อไม่ให้ทับทรวงเลื่อนหลุดจากเอโฟด ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส

เครื่องแต่งกายของปุโรหิตชิ้นอื่นๆ

22 พวกเขาทอเสื้อคลุมเข้าชุดกับเอโฟดด้วยผ้าสีน้ำเงินทั้งตัว

23 มีช่องตรงกลางเป็นคอเสื้อสำหรับสวมหัว มีแถบทอขลิบริมเพื่อไม่ให้ขาดลุ่ย

24 แล้วทำผลทับทิมด้วยด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดง และผ้าลินินเนื้อดีไว้รอบชายเสื้อคลุม

25 และเขาทำลูกพรวนทองคำบริสุทธิ์ติดสลับกับผลทับทิมรอบชายเสื้อคลุม

26 เสื้อคลุมที่ชายล่างติดผลทับทิมสลับลูกพรวนนี้ สำหรับอาโรนใช้สวมเวลาปฏิบัติหน้าที่ ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส

27 เขาทอเสื้อตัวในด้วยผ้าลินินเนื้อดีสำหรับอาโรนและบรรดาบุตรชาย

28 แถบคาดหน้าผาก ผ้าโพกศีรษะ และเครื่องแต่งกายชั้นใน ล้วนทำจากผ้าลินินเนื้อดีแบบเดียวกันนี้

29 สายคาดเอวทำด้วยผ้าลินินเนื้อดี ปักอย่างวิจิตรโดยใช้ด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดงตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส

30 เขาทำแผ่นทองคำบริสุทธิ์สำหรับคาดหน้าผากสลักข้อความเหมือนสลักตราว่า “บริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า”

31 แล้วเขาใช้ด้ายสีน้ำเงินผูกแผ่นทองคำนี้ติดกับผ้าโพกศีรษะ ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส

โมเสสตรวจงานพลับพลา

32 ดังนั้นงานทุกชิ้นสำหรับการสร้างพลับพลาหรือเต็นท์นัดพบก็สำเร็จสมบูรณ์ ชนอิสราเอลได้ทำทุกสิ่งตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้ทุกประการ

33 พวกเขานำส่วนประกอบทั้งหมดมามอบแก่โมเสสดังนี้คือ พลับพลา อุปกรณ์ประกอบทุกอย่าง ตะขอ ไม้ฝาพลับพลา คานขวาง เสา ฐานรองรับ

34 เครื่องคลุมพลับพลาที่ทำจากหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดงและที่ทำจากหนังพะยูน ม่านกั้นทางเข้า

35 หีบพันธสัญญาพร้อมคานหาม และพระที่นั่งกรุณา

36 โต๊ะพร้อมภาชนะทุกอย่างและขนมปังเบื้องพระพักตร์

37 คันประทีปทองคำบริสุทธิ์พร้อมตะเกียง เครื่องใช้ประกอบทุกอย่าง และน้ำมันสำหรับจุดประทีป

38 แท่นทองคำ น้ำมันเจิม เครื่องหอม ม่านกั้นทางเข้าเต็นท์

39 แท่นทองสัมฤทธิ์พร้อมตะแกรงทองสัมฤทธิ์ และคานหาม และเครื่องใช้ทุกอย่าง อ่างชำระพร้อมฐานรอง

40 ม่านกั้นลานพลับพลาพร้อมเสาและฐานรองรับ และม่านกั้นทางเข้าลานพลับพลา เชือก และหลักหมุด สำหรับลานพลับพลา เครื่องตบแต่งทั้งหมด สำหรับพลับพลาหรือเต็นท์นัดพบ

41 ทั้งเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์ที่ทอขึ้นสวมใส่เมื่อรับใช้ในสถานนมัสการสำหรับปุโรหิตอาโรนและบรรดาบุตรชายสวมขณะปฏิบัติหน้าที่ปุโรหิต

42 ชนอิสราเอลทั้งปวงปฏิบัติตามทุกสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส

43 โมเสสตรวจตราผลงานทั้งหมดและกล่าวอวยพรพวกเขา เพราะทุกสิ่งเรียบร้อยตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/39-84f0bc3d61b64f4d21c9d4617062e480.mp3?version_id=179—

อพยพ 40

การตั้งพลับพลา

1 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

2 “จงตั้งพลับพลาคือเต็นท์นัดพบขึ้นในวันแรกของเดือนที่หนึ่ง

3 ตั้งหีบพันธสัญญาในพลับพลา ขึงม่านกั้นบังหีบไว้

4 ยกโต๊ะเข้ามาตั้งวางภาชนะต่างๆ ลงบนโต๊ะ ตั้งคันประทีป แล้วตั้งตะเกียง

5 วางแท่นทองคำสำหรับเผาเครื่องหอมตรงหน้าหีบพันธสัญญา ขึงม่านกั้นทางเข้าพลับพลา

6 “จงวางแท่นเผาเครื่องบูชาตรงหน้าทางเข้าพลับพลาหรือเต็นท์นัดพบ

7 วางอ่างล้างระหว่างเต็นท์นัดพบกับแท่นบูชา ใส่น้ำไว้ในอ่าง

8 ตั้งลานพลับพลาโดยรอบ ขึงม่านตรงทางเข้าลานพลับพลา

9 “จงเอาน้ำมันเจิมพลับพลาและเจิมของทุกอย่างในพลับพลา เจิมภาชนะเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อชำระให้บริสุทธิ์ แล้วพลับพลานั้นจะบริสุทธิ์

10 แล้วเจิมแท่นบูชาและภาชนะเครื่องใช้ประจำแท่นเพื่อชำระแท่นนั้น และแท่นนั้นจะบริสุทธิ์ที่สุด

11 เจิมอ่างชำระและฐานรอง เป็นการชำระให้บริสุทธิ์

12 “จงนำอาโรนและบุตรชายของเขามาตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ เอาน้ำชำระกายพวกเขา

13 จากนั้นให้อาโรนสวมเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์ เจิมเขา และชำระเขาให้บริสุทธิ์เพื่อปฏิบัติหน้าที่ปุโรหิตรับใช้เรา

14 จงนำบรรดาบุตรชายของเขาเข้ามาและให้สวมเสื้อตัวใน

15 เจิมพวกเขาเช่นเดียวกับที่เจิมอาโรน เพื่อพวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ปุโรหิตรับใช้เรา การเจิมนี้เป็นการสถาปนาความเป็นปุโรหิตสืบไปทุกชั่วอายุ”

16 โมเสสก็ทำทุกสิ่งตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

17 ดังนั้นพวกเขาจึงได้ตั้งพลับพลาขึ้นในวันแรกของเดือนที่หนึ่งปีที่สอง

18 โมเสสตั้งพลับพลาขึ้นโดยวางฐาน เอาไม้ฝาตั้งขึ้นแล้วสอดคานขวางและตั้งเสา

19 จากนั้นคลี่ผ้าเต็นท์และเครื่องคลุมเหนือพลับพลาตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

20 เขาเอาแผ่นจารึกพันธสัญญาใส่ไว้ในหีบพันธสัญญา สอดคานหามเข้ากับหีบ และเอาพระที่นั่งกรุณาปิดหีบ

21 แล้วเขานำหีบพันธสัญญาไปตั้งในพลับพลา และขึงม่านกั้นปิดหีบพันธสัญญาไว้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

22 โมเสสวางโต๊ะในเต็นท์นัดพบข้างนอกม่านที่ด้านทิศเหนือของพลับพลา

23 และตั้งขนมปังไว้บนโต๊ะต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

24 เขาตั้งคันประทีปตรงกันข้ามกับโต๊ะในเต็นท์นัดพบทางด้านทิศใต้ของพลับพลา

25 และตั้งตะเกียงต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

26 โมเสสวางแท่นทองคำไว้ในเต็นท์นัดพบตรงหน้าม่าน

27 แล้วเผาเครื่องหอมบนแท่นนั้น ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาไว้

28 จากนั้นเขากั้นม่านตรงทางเข้าพลับพลา

29 แล้วเขาวางแท่นบูชาใกล้ทางเข้าพลับพลาหรือเต็นท์นัดพบ จากนั้นจึงถวายเครื่องเผาบูชา เครื่องธัญบูชาตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

30 เขาวางอ่างชำระระหว่างเต็นท์นัดพบกับแท่นบูชา ใส่น้ำเพื่อชำระล้าง

31 โมเสสและอาโรนกับบรรดาบุตรชายล้างมือและเท้าที่นั่น

32 คราวใดที่พวกเขาเข้าใกล้แท่นบูชาหรือเข้าไปในเต็นท์นัดพบ ก็ล้างมือและเท้าตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้

33 แล้วโมเสสกั้นลานรอบพลับพลาและแท่น จากนั้นขึงม่านตรงทางเข้าลานพลับพลา เป็นอันว่าโมเสสทำงานเสร็จเรียบร้อย

พระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า

34 แล้วมีเมฆเคลื่อนลงมาปกคลุมเต็นท์นัดพบ และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าปกคลุมทั่วพลับพลา

35 โมเสสไม่สามารถเข้าไปในเต็นท์นัดพบเพราะที่นั่นมีเมฆหนา และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าปกคลุมทั่วพลับพลา

36 ตลอดการเดินทาง เมื่อใดที่เมฆซึ่งอยู่เหนือพลับพลาลอยขึ้น ชนอิสราเอลก็ออกเดินทาง

37 แต่ถ้าเมฆนั้นไม่ลอยขึ้น พวกเขาก็ไม่ออกเดินทางจนกว่าเมฆจะเคลื่อน

38 เมฆขององค์พระผู้เป็นเจ้าลอยอยู่เหนือพลับพลาในยามกลางวัน และในยามกลางคืนก็มีไฟอยู่ในเมฆ ประจักษ์แก่ตาชนอิสราเอลทั้งปวงตลอดการเดินทาง

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/40-a249f5e24715e7e8d9aa0ea8f2841ab4.mp3?version_id=179—

ปฐมกาล 1

ในปฐมกาล

1 ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งในฟ้าสวรรค์และโลก

2 ขณะนั้นโลกยังไม่มีรูปทรงและว่างเปล่า ความมืดปกคลุมอยู่เหนือพื้นผิวของห้วงน้ำ พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเคลื่อนไหวอยู่เหนือน้ำนั้น

3 และพระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” ความสว่างก็เกิดขึ้น

4 พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี และทรงแยกความสว่างออกจากความมืด

5 พระเจ้าทรงเรียกความสว่างว่า “วัน” และเรียกความมืดว่า “คืน” เวลาเย็นและเวลาเช้าผ่านไป นี่เป็นวันที่หนึ่ง

6 และพระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดแผ่นฟ้าในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน”

7 พระเจ้าจึงทรงสร้างแผ่นฟ้าแยกน้ำออกจากกันเป็นส่วนบนและส่วนล่าง ก็เป็นไปตามนั้น

8 พระเจ้าทรงเรียกแผ่นฟ้านั้นว่า “ท้องฟ้า” เวลาเย็นและเวลาเช้าผ่านไป นี่เป็นวันที่สอง

9 และพระเจ้าตรัสว่า “ให้น้ำใต้ท้องฟ้ารวมเข้าในที่เดียวกัน และที่แห้งจงปรากฏขึ้น” ก็เป็นไปตามนั้น

10 พระเจ้าทรงเรียกที่แห้งนั้นว่า “แผ่นดิน” และทรงเรียกที่น้ำนั้นมารวมกันว่า “ทะเล” และพระเจ้าทรงเห็นว่าดี

11 แล้วพระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดพืชพันธุ์บนแผ่นดินเช่น พืชที่ให้เมล็ด และต้นไม้ที่มีเมล็ดในผลของมัน ตามชนิดต่างๆ ของมัน” ก็เป็นไปตามนั้น

12 แผ่นดินก็เกิดพืชพันธุ์ คือพืชที่ให้เมล็ดและต้นไม้ที่มีเมล็ดซึ่งให้ผลตามชนิดของมัน และพระเจ้าทรงเห็นว่าดี

13 เวลาเย็นและเวลาเช้าผ่านไป นี่เป็นวันที่สาม

14 และพระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดดวงสว่างต่างๆ ขึ้นในแผ่นฟ้า เพื่อแยกกลางวันจากกลางคืน ให้เป็นเครื่องหมายบอกฤดู บอกวัน บอกปี

15 และให้ดวงสว่างเหล่านั้นอยู่บนแผ่นฟ้าเพื่อให้แสงสว่างแก่โลก” ก็เป็นไปตามนั้น

16 ฉะนั้นพระเจ้าทรงสร้างดวงสว่างขนาดใหญ่สองดวง ให้ดวงที่ใหญ่กว่าครอบครองกลางวัน และดวงที่เล็กกว่าครอบครองกลางคืน ทั้งทรงสร้างดวงดาวต่างๆ มากมาย

17 พระเจ้าทรงกำหนดตำแหน่งของมันไว้ในแผ่นฟ้าเพื่อให้แสงสว่างแก่โลก

18 เพื่อครอบครองกลางวันและกลางคืน เพื่อแยกความสว่างออกจากความมืด และพระเจ้าทรงเห็นว่าดี

19 เวลาเย็นและเวลาเช้าผ่านไป นี่เป็นวันที่สี่

20 และพระเจ้าตรัสว่า “จงให้น้ำเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตต่างๆ และนกนานาชนิดบินไปมาในท้องฟ้า”

21 ฉะนั้นพระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่คลาคล่ำอยู่ในน้ำตามชนิดของมัน และนกต่างๆ ที่บินได้ตามชนิดของมัน และพระเจ้าทรงเห็นว่าดี

22 พระเจ้าทรงอวยพรสรรพสิ่งเหล่านั้นและตรัสว่า “จงออกลูกออกหลานและทวีจำนวนขึ้นจนเต็มทะเล และจงให้นกทวีจำนวนขึ้นบนโลก”

23 เวลาเย็นและเวลาเช้าผ่านไป นี่เป็นวันที่ห้า

24 และพระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดสัตว์ขึ้นบนแผ่นดินตามชนิดของมันได้แก่ สัตว์ใช้งาน สัตว์ที่เลื้อยคลาน และสัตว์ป่า ตามชนิดของมัน” ก็เป็นไปตามนั้น

25 ฉะนั้นพระเจ้าทรงสร้างสัตว์ป่าตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และสัตว์ที่เลื้อยคลานตามชนิดของมัน และพระเจ้าทรงเห็นว่าดี

26 แล้วพระเจ้าตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบเราตามอย่างเรา เพื่อให้เขาครอบครองปลาในทะเล นกในอากาศ สัตว์ใช้งาน สัตว์ป่าทั้งปวงและสัตว์ที่เลื้อยคลาน”

27 ดังนั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระองค์

ตามพระฉายของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างพวกเขาขึ้น

พระองค์ทรงสร้างทั้งผู้ชายและผู้หญิง

28 พระเจ้าทรงอวยพรพวกเขาและตรัสว่า “จงมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองและทวีจำนวนขึ้นจนเต็มโลก และจงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองปลาในทะเล นกในอากาศ และสัตว์ที่เลื้อยคลาน”

29 แล้วพระเจ้าตรัสว่า “เราให้พืชทั้งปวงที่ให้เมล็ดซึ่งมีอยู่ทั่วแผ่นดินและต้นไม้ทั้งปวงที่มีเมล็ดในผลของมันเป็นอาหารของเจ้า

30 ส่วนสัตว์ทั้งปวงบนโลก นกในอากาศ สัตว์ที่เลื้อยคลาน คือทุกสิ่งที่มีชีวิต เราให้พืชสีเขียวทุกชนิดเป็นอาหาร” ก็เป็นไปตามนั้น

31 พระเจ้าทอดพระเนตรทุกสิ่งที่ทรงสร้างขึ้น ทรงเห็นว่าดียิ่งนัก เวลาเย็นและเวลาเช้าผ่านไป นี่เป็นวันที่หก

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/1-1660481b7db1f3ca28c6bd66a94d7b9c.mp3?version_id=179—

ปฐมกาล 2

1 ดังนั้นสวรรค์และโลกพร้อมกับสรรพสิ่งทั้งปวงจึงถูกสร้างขึ้นสำเร็จครบถ้วน

2 เมื่อถึงวันที่เจ็ดพระเจ้าก็ทรงเสร็จสิ้นจากพระราชกิจที่ทรงกระทำ ดังนั้นในวันที่เจ็ดพระองค์ทรงหยุดพักจากพระราชกิจทั้งปวงของพระองค์

3 และพระเจ้าทรงอวยพรวันที่เจ็ดและทรงตั้งขึ้นเป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะในวันนั้นพระองค์ทรงหยุดพักจากพระราชกิจในการทรงสร้างที่พระองค์ทรงกระทำ

อาดัมและเอวา

4 นี่คือเรื่องราวการทรงสร้างสวรรค์และโลก เมื่อพระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงสร้างโลกและสวรรค์

5 ขณะนี้ยังไม่มีต้นไม้และพืชพันธุ์ในท้องทุ่งปรากฏขึ้นในโลกเลย เพราะว่าพระเจ้าพระยาห์เวห์ยังไม่ได้ประทานฝนลงมา ทั้งยังไม่มีมนุษย์ที่จะไถพรวนดิน

6 แต่ก็มีน้ำพลุ่งขึ้นจากพื้นโลกและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวดินทั้งหมด

7 แล้วพระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงปั้นมนุษย์จากธุลีดินและทรงระบายลมหายใจแห่งชีวิตเข้าไปทางจมูกของเขา มนุษย์จึงมีชีวิต

8 พระเจ้าพระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างสวนแห่งหนึ่งไว้ในเอเดนทางทิศตะวันออก และให้ชายที่ทรงสร้างขึ้นอาศัยอยู่ในสวนนั้น

9 พระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงให้ต้นไม้ทุกชนิดทั้งที่งดงามน่าดูและที่เหมาะเป็นอาหารงอกขึ้นในสวน ที่กลางสวนนั้นมีต้นไม้แห่งชีวิตและต้นไม้แห่งการรู้ดีรู้ชั่ว

10 มีแม่น้ำสายหนึ่งจากเอเดนไหลมาหล่อเลี้ยงสวนนั้นแล้วแยกออกเป็นต้นน้ำสี่สาย

11 สายที่หนึ่งชื่อปิโชน ไหลผ่านดินแดนฮาวิลาห์ที่ซึ่งมีแร่ทองคำ

12 (ดินแดนนี้มีแร่ทองคำคุณภาพดี ยางไม้หอมและพลอยด้วย)

13 สายที่สองชื่อกิโฮน ไหลผ่านทั่วดินแดนคูช

14 สายที่สามคือไทกริส ซึ่งไหลไปทางทิศตะวันออกของอัสชูร์ และสายที่สี่คือยูเฟรติส

15 พระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงกำหนดให้ชายผู้นั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้เขาทำงานและดูแลรักษาสวนแห่งนั้น

16 และพระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขาไว้ว่า “เจ้ามีอิสระที่จะกินผลจากต้นใดๆ ในสวนก็ได้

17 แต่เจ้าต้องไม่กินผลจากต้นแห่งการรู้ดีรู้ชั่ว เพราะถ้าเจ้ากินผลของมันเมื่อใด เจ้าจะตายแน่นอน”

18 แล้วพระเจ้าพระยาห์เวห์ตรัสว่า “ไม่ควรให้ชายผู้นี้อยู่คนเดียว เราจะสร้างผู้อุปถัมภ์ที่เหมาะสมเท่าเทียมกับเขา”

19 พระเจ้าพระยาห์เวห์ได้ทรงปั้นสัตว์และนกทุกชนิดขึ้นจากดิน พระองค์ทรงนำมายังชายผู้นั้นเพื่อดูว่าเขาจะเรียกมันว่าอย่างไร สัตว์เหล่านั้นก็ได้ชื่อตามที่เขาเรียก

20 ดังนั้นชายผู้นั้นจึงตั้งชื่อให้กับสัตว์เลี้ยงทั้งปวง นกในอากาศ และสัตว์ในท้องทุ่งทั้งสิ้น

แต่อาดัมยังไม่พบผู้อุปถัมภ์ที่เหมาะสมเท่าเทียมสำหรับเขา

21 พระเจ้าพระยาห์เวห์จึงทรงบันดาลให้ชายนั้นหลับสนิท จากนั้นทรงชักกระดูกซี่โครงของเขาออกมาซี่หนึ่งและทรงปิดเนื้อให้สนิทเข้าดังเดิม

22 แล้วพระเจ้าทรงสร้างผู้หญิงขึ้นจากกระดูกซี่โครงที่พระองค์ทรงนำออกมาจากชายนั้น และพานางมาหาเขา

23 ชายผู้นั้นกล่าวว่า

“นี่คือกระดูกจากกระดูกของเรา

และเนื้อจากเนื้อของเรา

นางจะได้ชื่อว่า ‘หญิง’

เพราะนางมาจากชาย”

24 เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะละจากบิดามารดาของตนไปผูกพันกับภรรยา และพวกเขาจะเป็นเนื้อเดียวกัน

25 ชายนั้นกับภรรยาต่างเปลือยกายอยู่ และพวกเขาไม่รู้สึกละอายเลย

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/2-016cc677fc110ee6795fd6d8fcebd7b7.mp3?version_id=179—

ปฐมกาล 3

มนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า

1 งูนั้นเป็นสัตว์ที่มีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าสัตว์ป่าทั้งหลายที่พระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงสร้างขึ้น มันมาถามหญิงนั้นว่า “พระเจ้าตรัสจริงๆ หรือว่า ‘เจ้าต้องไม่กินผลจากต้นใดๆ ในสวนนี้’?”

2 หญิงนั้นตอบงูว่า “พวกเรากินผลของทุกต้นในสวนได้

3 แต่พระเจ้าตรัสจริงๆ ว่า ‘เจ้าต้องไม่กินผลของต้นไม้ที่อยู่กลางสวน และเจ้าต้องไม่แตะต้องมัน มิฉะนั้นเจ้าจะตาย’ ”

4 งูบอกหญิงนั้นว่า “เจ้าจะไม่ตายแน่นอน

5 เพราะพระเจ้าทรงทราบว่าเมื่อใดที่เจ้ากินผลไม้นั้น เจ้าจะตาสว่างขึ้นและจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือรู้ผิดชอบชั่วดี”

6 เมื่อหญิงนั้นเห็นว่าผลนั้นดี เหมาะเป็นอาหาร และยังงามน่าดู ทั้งน่าพึงปรารถนาเพราะจะช่วยให้เกิดปัญญา นางจึงนำผลไม้มากิน และให้สามีที่อยู่กับนาง และเขาก็กิน

7 แล้วเขาทั้งสองก็ตาสว่าง และตระหนักว่าตนเองเปลือยกายอยู่ จึงเอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดร่างกาย

8 เย็นวันนั้นเขาทั้งสองได้ยินเสียงพระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงดำเนินอยู่ในสวน จึงหลบซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ให้พ้นจากพระองค์

9 พระเจ้าพระยาห์เวห์ตรัสเรียกหาชายนั้นว่า “เจ้าอยู่ที่ไหน?”

10 เขาทูลว่า “ข้าพระองค์ได้ยินเสียงของพระองค์อยู่ในสวนก็กลัว เพราะข้าพระองค์เปลือยกายอยู่ จึงหลบซ่อนตัวเสีย”

11 พระองค์ตรัสถามว่า “ใครบอกว่าเจ้าเปลือยกายอยู่? เจ้ากินผลจากต้นที่เราห้ามเจ้าไว้แล้วหรือ?”

12 ชายนั้นทูลว่า “หญิงที่พระองค์ให้อยู่กับข้าพระองค์นั่นแหละ ยื่นผลจากต้นไม้นั้นให้แก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงกิน”

13 แล้วพระเจ้าพระยาห์เวห์ตรัสถามหญิงนั้นว่า “เจ้าทำอะไรลงไป?”

หญิงนั้นทูลว่า “งูนั้นล่อลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงกิน”

14 พระเจ้าพระยาห์เวห์จึงตรัสแก่งูนั้นว่า “เพราะเจ้าได้ทำเช่นนี้

“เจ้าจึงถูกสาปแช่งหนักกว่าสัตว์ใช้งานทั้งสิ้น

และสัตว์ป่าทั้งปวง!

เจ้าจะเลื้อยไปด้วยท้อง

และเจ้าจะกินธุลีดิน

ตราบชั่วชีวิตของเจ้า

15 เราจะให้เจ้ากับหญิงนั้น

เป็นศัตรูกัน

ทั้งเผ่าพันธุ์ของเจ้ากับของนางด้วย

เขาจะฟาดศีรษะของเจ้า

และเจ้าจะฉกส้นเท้าของเขา”

16 พระองค์ตรัสกับหญิงนั้นว่า

“เราจะให้เจ้าเจ็บปวดแสนสาหัสเมื่อเจ้าคลอดบุตร

เจ้าจะคลอดบุตรด้วยความเจ็บปวด

แต่เจ้าก็ยังปรารถนาสามี

และเขาจะปกครองเจ้า”

17 พระองค์ตรัสกับอาดัมว่า “เพราะเจ้าฟังภรรยาของเจ้าและกินผลไม้ซึ่งเราสั่งเจ้าว่า ‘เจ้าต้องไม่กินผลจากต้นไม้นั้น’

“แผ่นดินจึงถูกสาปแช่งเพราะเจ้า

เจ้าจะหาเลี้ยงชีพจากแผ่นดินด้วยความลำบากตรากตรำ

ตลอดชีวิตของเจ้า

18 ต้นหนามน้อยใหญ่จะงอกขึ้นมาบนแผ่นดิน

และเจ้าจะกินพืชพันธุ์จากท้องทุ่ง

19 เจ้าจะทำมาหากิน

อาบเหงื่อต่างน้ำ

ตราบจนเจ้ากลับคืนสู่ดิน

เพราะเรานำเจ้ามาจากดิน

เพราะเจ้าเป็นธุลีดิน

และเจ้าจะกลับคืนสู่ธุลีดิน”

20 อาดัมตั้งชื่อภรรยาของตนว่าเอวาเพราะนางเป็นมารดาของผู้มีชีวิตทั้งปวง

21 พระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงทำเครื่องนุ่งห่มจากหนังสัตว์ให้อาดัมกับภรรยาสวม

22 แล้วพระเจ้าพระยาห์เวห์ตรัสว่า “บัดนี้ มนุษย์ได้กลายเป็นเหมือนหนึ่งในพวกเราแล้ว คือรู้ผิดชอบชั่วดี ดังนั้นต้องไม่ปล่อยให้เขาเก็บผลไม้แห่งชีวิตมากินแล้วมีชีวิตอยู่ตลอดไป”

23 พระเจ้าพระยาห์เวห์จึงทรงขับไล่เขาออกจากสวนเอเดนให้ไปหาเลี้ยงชีพบนผืนดินซึ่งเขาถือกำเนิดมานั้น

24 หลังจากทรงขับไล่เขาออกไปจากสวนแล้ว พระองค์ทรงตั้งเหล่าเครูบไว้ที่ด้านตะวันออกของสวนเอเดน และตั้งดาบเพลิงเล่มหนึ่งที่พุ่งไปมาเพื่อคอยพิทักษ์ทางซึ่งนำไปสู่ต้นไม้แห่งชีวิตนั้น

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/3-6df664dbf2e2240309625adebcc539e5.mp3?version_id=179—

ปฐมกาล 4

คาอินกับอาแบล

1 อาดัมได้ร่วมหลับนอนกับเอวา นางก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายชื่อคาอินนางกล่าวว่า “ฉันได้ลูกชายคนนี้มาโดยความช่วยเหลือขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

2 ภายหลังนางให้กำเนิดน้องชายของเขาคือ อาแบล

อาแบลเลี้ยงสัตว์ ส่วนคาอินทำไร่ไถนา

3 เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว คาอินนำพืชผลจากไร่นามาถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า

4 ส่วนอาแบลนำไขมันของลูกสัตว์หัวปีที่ดีที่สุดในฝูงสัตว์ของเขามาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดปรานอาแบลและเครื่องถวายของเขา

5 แต่ไม่ได้ทรงโปรดปรานคาอินและเครื่องถวายของเขา คาอินจึงโกรธนักและชักสีหน้า

6 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับคาอินว่า “เจ้าโกรธทำไม? เจ้าชักสีหน้าทำไม?

7 หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกที่ควร เจ้าก็จะเป็นที่ยอมรับไม่ใช่หรือ? แต่หากเจ้าไม่ทำสิ่งที่ถูกต้อง บาปก็หมอบอยู่ที่ประตูคอยเล่นงานเจ้า แต่เจ้าจะต้องชนะบาปให้ได้”

8 ฝ่ายคาอินชวนอาแบลน้องชายของเขาว่า “เราไปที่ทุ่งนากันเถอะ”ขณะอยู่ด้วยกันที่นั่น คาอินก็ทำร้ายและฆ่าอาแบลน้องชายของเขา

9 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามคาอินว่า “อาแบลน้องชายของเจ้าอยู่ที่ไหน?”

เขาตอบว่า “ข้าพระองค์ไม่ทราบ ข้าพระองค์เป็นผู้ดูแลน้องชายหรือ?”

10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เจ้าทำอะไรลงไป! ฟังให้ดี โลหิตของน้องชายเจ้าร้องขึ้นจากแผ่นดินมาถึงเรา

11 บัดนี้เจ้าถูกสาปแช่งและขับออกจากแผ่นดินซึ่งรองรับโลหิตของน้องชายของเจ้าเพราะน้ำมือของเจ้า

12 เมื่อเจ้าไถพรวนดิน มันจะไม่ให้ผลผลิตแก่เจ้าอีกต่อไป เจ้าจะเป็นคนร่อนเร่พเนจรไปในโลก”

13 คาอินทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “โทษทัณฑ์นี้ใหญ่หลวงเกินกว่าข้าพระองค์จะรับได้

14 ในวันนี้พระองค์ทรงขับไล่ข้าพระองค์ไปจากแผ่นดินนี้ และทรงปิดกั้นข้าพระองค์จากพระพักตร์ของพระองค์ ข้าพระองค์จะเป็นคนร่อนเร่พเนจรไปในโลก ใครพบเห็นก็จะฆ่าข้าพระองค์”

15 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “ไม่ใช่เช่นนั้น ถ้าผู้ใดฆ่าคาอิน จะถูกเอาคืนเจ็ดเท่า” แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำเครื่องหมายไว้ที่ตัวคาอินเพื่อไม่ให้ผู้ที่พบเข้าฆ่าเขา

16 ดังนั้นคาอินจึงออกไปจากเบื้องหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนโนดทางทิศตะวันออกของเอเดน

17 คาอินร่วมหลับนอนกับภรรยา นางก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดเอโนค ขณะนั้นคาอินกำลังสร้างเมือง เขาจึงตั้งชื่อเมืองนั้นว่าเอโนคตามชื่อบุตรชายของตน

18 เอโนคมีบุตรชายชื่ออิราด และอิราดเป็นบิดาของเมหุยาเอล เมหุยาเอลเป็นบิดาของเมธูชาเอล และเมธูชาเอลเป็นบิดาของลาเมค

19 ลาเมคมีภรรยาสองคน คนหนึ่งชื่ออาดาห์ อีกคนหนึ่งชื่อศิลลาห์

20 อาดาห์มีบุตรชายชื่อยาบาล ซึ่งเป็นบิดาของคนเลี้ยงสัตว์และอาศัยในเต็นท์

21 ยาบาลมีน้องชายชื่อยูบาล ซึ่งเป็นบิดาของคนเล่นพิณและขลุ่ย

22 ส่วนศิลลาห์ก็มีบุตรชายคนหนึ่งด้วย ชื่อทูบัลคาอิน เขาทำเครื่องมือเครื่องใช้จากทองสัมฤทธิ์และเหล็ก ทูบัลคาอินมีน้องสาวชื่อนาอามาห์

23 ลาเมคพูดกับภรรยาทั้งสองของเขาว่า

“อาดาห์และศิลลาห์ จงฟังเรา

ภรรยาของลาเมคเอ๋ย จงฟังคำของเรา

เราได้ฆ่าชายคนหนึ่งที่ทำร้ายเรา

ฆ่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทำให้เราบาดเจ็บ

24 หากใครทำร้ายคาอินจะถูกเอาคืนเจ็ดเท่า

ส่วนคนที่ทำร้ายลาเมคจะถูกเอาคืนเจ็ดสิบเจ็ดเท่า”

25 อาดัมร่วมหลับนอนกับภรรยาของเขาอีก และนางให้กำเนิดบุตรชายอีกคนหนึ่ง จึงตั้งชื่อเขาว่าเสทนางกล่าวว่า “พระเจ้าประทานลูกชายอีกคนหนึ่งแทนอาแบลเพราะคาอินได้ฆ่าเขา”

26 เสทก็มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อว่าเอโนช

ในเวลานั้นมนุษย์เริ่มนมัสการโดยออกพระนามพระยาห์เวห์

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/4-e2293b8ee7d5061e4c9b33f31b3571d6.mp3?version_id=179—

ปฐมกาล 5

จากอาดัมถึงโนอาห์

1 นี่คือบันทึกเรื่องราวเชื้อสายของอาดัม

เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงสร้างเขาตามอย่างพระองค์

2 พระองค์ทรงสร้างพวกเขาทั้งผู้ชายและผู้หญิง แล้วทรงอวยพรเขา และตรัสเรียกเขาว่า “มนุษย์”

3 เมื่ออาดัมอายุได้ 130 ปีก็มีบุตรชายซึ่งเหมือนอย่างเขา ตามลักษณะของเขา เขาตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเสท

4 หลังจากที่เสทเกิด อาดัมมีชีวิตต่อไปอีก 800 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

5 อาดัมมีชีวิตอยู่รวมทั้งสิ้น 930 ปี แล้วเขาก็ตาย

6 เมื่อเสทอายุได้ 105 ปีก็มีบุตรชายชื่อเอโนช

7 หลังจากนั้นเสทมีชีวิตต่อไปอีก 807 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

8 เสทมีชีวิตอยู่รวมทั้งสิ้น 912 ปี แล้วเขาก็ตาย

9 เมื่อเอโนชอายุได้ 90 ปีก็มีบุตรชายชื่อเคนัน

10 หลังจากนั้นเอโนชมีชีวิตต่อไปอีก 815 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

11 เอโนชมีชีวิตอยู่รวมทั้งสิ้น 905 ปี แล้วเขาก็ตาย

12 เมื่อเคนันอายุได้ 70 ปีก็มีบุตรชายชื่อมาหะลาเลล

13 หลังจากนั้นมีชีวิตต่อไปอีก 840 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

14 เคนันมีชีวิตอยู่รวมทั้งสิ้น 910 ปี แล้วเขาก็ตาย

15 เมื่อมาหะลาเลลอายุได้ 65 ปีก็มีบุตรชายชื่อยาเรด

16 หลังจากนั้นมาหะลาเลลมีชีวิตต่อไปอีก 830 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

17 มาหะลาเลลมีชีวิตอยู่รวมทั้งสิ้น 895 ปี แล้วเขาก็ตาย

18 เมื่อยาเรดอายุได้ 162 ปีก็มีบุตรชายชื่อเอโนค

19 หลังจากนั้นยาเรดมีชีวิตต่อไปอีก 800 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

20 ยาเรดมีชีวิตอยู่รวมทั้งสิ้น 962 ปี แล้วเขาก็ตาย

21 เมื่อเอโนคอายุได้ 65 ปีก็มีบุตรชายชื่อเมธูเสลาห์

22 หลังจากนั้นเอโนคก็ดำเนินชีวิตไปกับพระเจ้าอีก 300 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

23 เอโนคมีอายุรวมทั้งสิ้น 365 ปี

24 เอโนคดำเนินชีวิตไปกับพระเจ้า แล้วไม่มีใครพบเขาอีกเลย เพราะพระเจ้าทรงรับเขาไป

25 เมื่อเมธูเสลาห์อายุได้ 187 ปีก็มีบุตรชายชื่อลาเมค

26 หลังจากนั้นเมธูเสลาห์มีชีวิตต่อไปอีก 782 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

27 เมธูเสลาห์มีชีวิตรวมทั้งสิ้น 969 ปี แล้วเขาก็ตาย

28 เมื่อลาเมคอายุได้ 182 ปีก็มีบุตรชายคนหนึ่ง

29 เขาตั้งชื่อบุตรนั้นว่าโนอาห์และกล่าวว่า “ลูกคนนี้จะช่วยบรรเทาเราจากความเหนื่อยยาก และจากการตรากตรำทำงานหนักที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินนี้ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสาปแช่ง”

30 หลังจากโนอาห์เกิดมา ลาเมคมีชีวิตต่อไปอีก 595 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

31 ลาเมคมีชีวิตอยู่รวมทั้งสิ้น 777 ปี แล้วเขาก็ตาย

32 หลังจากโนอาห์อายุได้ 500 ปี ก็มีบุตรชายคือ เชม ฮาม และยาเฟท

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/5-dcf3b3de8bd68e0b2c95b7bb1d3cdc86.mp3?version_id=179—

ปฐมกาล 6

น้ำท่วมโลก

1 เมื่อมนุษย์เริ่มทวีจำนวนขึ้นบนโลกและให้กำเนิดบุตรสาว

2 บรรดาบุตรชายของพระเจ้าเห็นว่าบรรดาบุตรสาวของมนุษย์สวยงามก็เลือกเอามาเป็นภรรยาตามใจชอบ

3 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จิตวิญญาณของเราจะไม่คงอยู่กับมนุษย์ตลอดไป เพราะเขาเป็นเพียงมนุษย์ที่ต้องตายเขาจะมีอายุขัย 120 ปี”

4 ในสมัยนั้นและสืบต่อมาภายหลัง มีคนเนฟิลอาศัยอยู่ในโลก คือสมัยที่บุตรชายของพระเจ้าไปอยู่กินกับบุตรสาวของมนุษย์และมีลูกหลานกับเขา คนเหล่านี้เป็นคนใหญ่คนโตที่มีชื่อเสียงในยุคโบราณ

5 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วร้ายของมนุษย์ในโลกทวีมากยิ่งขึ้น และความคิดจิตใจของเขาก็โน้มเอียงไปในทางชั่วอยู่เสมอ

6 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงเสียพระทัยยิ่งนักที่ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาในโลก และพระองค์ทรงปวดร้าวพระทัย

7 ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า “เราจะกวาดล้างมนุษยชาติที่เราได้สร้างขึ้นออกจากผืนแผ่นดิน ทั้งมนุษย์และสัตว์ทั้งปวง สัตว์ที่เลื้อยคลาน และนกในอากาศ เพราะเราเสียใจที่ได้สร้างพวกนี้ขึ้นมา”

8 แต่โนอาห์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า

9 นี่คือเรื่องราวเชื้อสายของโนอาห์

โนอาห์เป็นคนชอบธรรม เป็นคนดีพร้อมเมื่อเทียบกับคนในยุคของเขาและดำเนินชีวิตไปกับพระเจ้า

10 โนอาห์มีบุตรชายสามคนคือ เชม ฮาม และยาเฟท

11 ในขณะนั้นโลกเสื่อมทรามในสายพระเนตรของพระเจ้าและเต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณ

12 พระเจ้าทรงเห็นว่าโลกเสื่อมทรามมากเพราะสิ่งมีชีวิตทั้งปวงล้วนดำเนินชีวิตอย่างเสื่อมทราม

13 พระเจ้าจึงตรัสกับโนอาห์ว่า “เรากำลังจะนำจุดจบมาถึงคนทั้งปวง เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งปวงทำให้โลกเต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณ เราจะทำลายสิ่งเหล่านี้และโลกอย่างแน่นอน

14 ดังนั้นจงต่อเรือขึ้นลำหนึ่งด้วยไม้ไซเปรส และกั้นเป็นห้องๆ แล้วยาด้วยชันตลอดทั้งนอกและใน

15 เรือนี้ยาว 300 ศอก กว้าง 50 ศอก และสูง 30 ศอก

16 จงทำหลังคาคลุมและระหว่างหลังคากับตัวเรือให้เว้นช่องสูง 1 ศอกโดยรอบ จงทำประตูบานหนึ่งไว้ด้านข้างของเรือ และต่อเรือเป็นชั้นล่าง ชั้นกลาง ชั้นบน

17 เรากำลังจะให้น้ำท่วมโลกเพื่อทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งมวลภายใต้ฟ้าสวรรค์ คือทุกสิ่งที่มีลมหายใจแห่งชีวิต ทุกสิ่งบนแผ่นดินโลกจะพินาศสิ้น

18 แต่เราจะทำพันธสัญญาอันมั่นคงกับเจ้า เจ้าจะเข้าไปในเรือ คือทั้งตัวเจ้า ภรรยา บุตรชาย และบุตรสะใภ้ของเจ้า

19 จงนำสัตว์ทุกชนิดมาเป็นคู่ๆ ทั้งตัวผู้และตัวเมียเข้ามาในเรือเพื่อรักษาชีวิตของมันให้รอดด้วยกันกับเจ้า

20 นกทุกชนิด สัตว์ทุกชนิด สัตว์ที่เลื้อยคลานทุกชนิดจะมาหาเจ้าอย่างละคู่เพื่อรักษาชีวิตของพวกมันไว้

21 จงสะสมเสบียงทุกอย่างเพื่อเก็บไว้เป็นอาหารสำหรับเจ้าและสัตว์เหล่านั้น”

22 โนอาห์ก็ทำทุกสิ่งตามที่พระเจ้าทรงบัญชา

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/6-c9a635ef1e2f5067ebc3e04b0af0e6af.mp3?version_id=179—

ปฐมกาล 7

1 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโนอาห์ว่า “จงเข้าไปในเรือพร้อมกับครอบครัวของเจ้า เพราะเราเห็นว่าเจ้าเป็นคนชอบธรรมคนเดียวในบรรดาคนชั่วอายุนี้

2 จงนำสัตว์เหล่านี้ไปกับเจ้าด้วย คือสัตว์ที่ไม่เป็นมลทินทุกชนิดอย่างละเจ็ดคู่ทั้งตัวผู้กับคู่ของมัน สัตว์ที่เป็นมลทินทุกชนิดอย่างละคู่ทั้งตัวผู้กับคู่ของมัน

3 และนกทุกชนิดอย่างละเจ็ดคู่ทั้งตัวผู้และตัวเมีย เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของสัตว์ทุกชนิดบนโลก

4 อีกเจ็ดวันเราจะให้ฝนตกบนโลกนี้สี่สิบวันสี่สิบคืน และเราจะกวาดล้างสิ่งมีชีวิตทั้งปวงซึ่งเราสร้างขึ้นนั้นไปจากแผ่นดินโลก”

5 โนอาห์ก็ทำทุกสิ่งตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

6 โนอาห์มีอายุหกร้อยปีเมื่อเกิดน้ำท่วมโลก

7 โนอาห์และบรรดาบุตรชายของเขา พร้อมทั้งภรรยาของโนอาห์และบรรดาบุตรสะใภ้ก็เข้าไปอยู่ในเรือเพื่อหลบภัยน้ำท่วม

8 สัตว์ที่เป็นมลทินและไม่เป็นมลทิน นก สัตว์ที่เลื้อยคลาน สัตว์ทุกประเภทเป็นคู่ๆ

9 ทั้งตัวผู้และตัวเมียก็มาหาโนอาห์และเข้าไปในเรือตามที่พระเจ้าทรงบัญชาโนอาห์ไว้

10 อีกเจ็ดวันต่อมาน้ำก็ท่วมโลก

11 ในวันที่สิบเจ็ดของเดือนที่สอง ซึ่งเป็นปีที่โนอาห์มีอายุได้หกร้อยปี ตาน้ำบาดาลพลุ่งทะลักขึ้นมาและประตูน้ำแห่งฟ้าสวรรค์ก็เปิดออก

12 ฝนก็เทลงมาบนโลกตลอดสี่สิบวันสี่สิบคืน

13 ในวันนั้นเองโนอาห์กับภรรยาและบุตรชายทั้งสามคือ เชม ฮาม และยาเฟท รวมทั้งบุตรสะใภ้ของเขาก็เข้าไปในเรือ

14 พวกเขาได้นำสัตว์ทุกชนิดจากสัตว์ป่า สัตว์เลี้ยง สัตว์ที่เลื้อยคลาน นกและสัตว์มีปีกไปด้วย

15 บรรดาสัตว์ทุกชนิดที่มีลมหายใจแห่งชีวิตได้มาหาโนอาห์และเข้าไปในเรือเป็นคู่ๆ

16 สัตว์ที่เข้าไปในเรือคือสัตว์ตัวผู้และตัวเมียของสัตว์ทุกชนิดตามที่พระเจ้าทรงบัญชาโนอาห์ แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปิดประตูเรือ

17 ตลอดสี่สิบวัน น้ำก็ท่วมสูงจนหนุนเรือให้ลอยขึ้น

18 ปริมาณน้ำบนโลกเพิ่มขึ้นมากจนยกเรือให้ลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ

19 น้ำท่วมโลกรุนแรงมากจนมิดภูเขาสูงทั้งหมดที่อยู่ใต้ฟ้า

20 ระดับน้ำสูงเหนือยอดเขาต่างๆ ขึ้นไปกว่า 15 ศอก

21 สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ทั่วโลกก็พินาศ ทั้งนก สัตว์เลี้ยง สัตว์ป่า สัตว์ที่เลื้อยคลาน และมวลมนุษยชาติ

22 สรรพสิ่งที่มีลมหายใจแห่งชีวิตและดำรงชีวิตอยู่บนบกก็ตายหมด

23 สิ่งมีชีวิตทั้งปวงบนโลกไม่ว่าคน สัตว์ สัตว์ที่เลื้อยคลาน และนกในอากาศล้วนถูกกวาดล้างไปจากโลก เหลือรอดอยู่แต่โนอาห์และสิ่งมีชีวิตที่อยู่กับเขาในเรือ

24 น้ำท่วมโลกอยู่นาน 150 วัน

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/7-024c99a3845cd01464920c87109aa6d6.mp3?version_id=179—

ปฐมกาล 8

1 แต่พระเจ้าทรงระลึกถึงโนอาห์และสัตว์ป่ากับสัตว์ใช้งานทุกชนิดที่อยู่กับเขาในเรือ พระองค์ทรงบันดาลให้กระแสลมพัดเหนือแผ่นดิน แล้วน้ำก็ลดลง

2 ตาน้ำบาดาลและประตูน้ำแห่งฟ้าสวรรค์ก็ถูกปิดและฝนก็หยุดตกจากฟ้า

3 น้ำจึงลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่ง 150 วันผ่านไป

4 และในวันที่สิบเจ็ดของเดือนที่เจ็ด เรือก็มาค้างอยู่บนเทือกเขาอารารัต

5 น้ำลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งวันที่หนึ่งของเดือนที่สิบ ยอดเขาอื่นๆ ก็ปรากฏให้เห็น

6 หลังจากนั้นอีกสี่สิบวัน โนอาห์เปิดหน้าต่างเรือ

7 และปล่อยกาตัวหนึ่งออกไป มันบินวนเวียนไปมาจนถึงเวลาที่น้ำแห้งไปจากแผ่นดินโลก

8 เขาจึงปล่อยนกพิราบออกไปตัวหนึ่งเพื่อดูว่าน้ำลดจนถึงผิวดินแล้วหรือไม่

9 แต่นกพิราบไม่พบที่ที่จะเกาะเพราะว่าระดับน้ำยังสูงอยู่ จึงกลับมาหาโนอาห์ที่เรือ โนอาห์ก็ยื่นมือออกรับนกพิราบเข้ามาในเรือดังเดิม

10 เขาคอยอีกเจ็ดวัน แล้วปล่อยนกพิราบออกไปจากเรืออีกครั้งหนึ่ง

11 เมื่อนกพิราบกลับมาหาเขาในตอนเย็น มันคาบใบมะกอกเขียวสดมาด้วย โนอาห์จึงรู้ว่าน้ำลดลงจากแผ่นดินแล้ว

12 เขาคอยอีกเจ็ดวันแล้วปล่อยนกพิราบออกไปอีก แต่คราวนี้มันไม่ได้กลับมาหาเขา

13 เมื่อวันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่งในปีที่โนอาห์มีอายุ 601 ปี น้ำก็แห้ง โนอาห์เปิดหลังคาเรือออกมาดูก็เห็นว่าพื้นดินแห้งแล้ว

14 พอถึงวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนที่สอง แผ่นดินก็แห้งสนิท

15 แล้วพระเจ้าตรัสกับโนอาห์ว่า

16 “เจ้า ภรรยาของเจ้า บรรดาบุตรชายและบุตรสะใภ้ของเจ้า จงออกจากเรือ

17 จงนำสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่กับเจ้าออกมาด้วย ทั้งนก สัตว์ต่างๆ สัตว์ที่เลื้อยคลาน เพื่อพวกมันจะได้ออกลูกออกหลานและทวีจำนวนขึ้นในโลก”

18 ดังนั้นโนอาห์จึงออกมาพร้อมกับบุตรชาย รวมทั้งภรรยาและบุตรสะใภ้ของเขา

19 สัตว์ทั้งปวง สัตว์ที่เลื้อยคลานทั้งปวง นกทั้งปวง คือสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกต่างทยอยออกจากเรือทีละชนิด

20 หลังจากนั้นโนอาห์สร้างแท่นบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและถวายสัตว์และนกที่ไม่เป็นมลทินจำนวนหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชาบนแท่นนั้น

21 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้กลิ่นอันเป็นที่พอพระทัยและทรงดำริว่า “เราจะไม่สาปแช่งแผ่นดินเพราะมนุษย์อีกต่อไป ถึงแม้ว่าจิตใจของมนุษย์จะโน้มเอียงไปในทางชั่วตั้งแต่วัยเด็ก แต่เราจะไม่ทำลายล้างสิ่งมีชีวิตทั้งปวงอย่างที่เราได้ทำในคราวนี้อีก

22 “ตราบใดที่โลกยังคงอยู่

ตราบนั้นจะมีฤดูหว่านและฤดูเก็บเกี่ยว

ความหนาวเย็นและความร้อน

ฤดูร้อนและฤดูหนาว

วันและคืน

อยู่เรื่อยไป”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/8-f12af112565c88a9cf4a5fd4bdb647bd.mp3?version_id=179—