อพยพ 9

ภัยพิบัติที่เกิดกับฝูงสัตว์

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงไปหาฟาโรห์และกล่าวกับเขาว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของชนฮีบรูตรัสว่า “จงปล่อยประชากรของเราไปเพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา”

2 หากเจ้าไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปและยังคงหน่วงเหนี่ยวไว้

3 พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะนำภัยพิบัติอันน่าสะพรึงกลัวมาสู่ฝูงสัตว์ของเจ้าในท้องทุ่ง ไม่ว่าจะเป็นฝูงม้า ลา อูฐ วัว แกะและแพะ

4 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างฝูงสัตว์ของอิสราเอลกับของอียิปต์ เพื่อว่าสัตว์ของชาวอิสราเอลจะไม่ตายแม้แต่ตัวเดียว’ ”

5 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดเวลาและตรัสว่า “ในวันพรุ่งนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทำสิ่งนี้ในแผ่นดินอียิปต์”

6 และองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงกระทำเช่นนั้นในวันต่อมา ฝูงสัตว์ของชาวอียิปต์พากันล้มตายหมด ส่วนฝูงสัตว์ของอิสราเอลไม่ตายแม้แต่ตัวเดียว

7 ฟาโรห์ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าสัตว์ของอิสราเอลไม่ตายเลยสักตัว แต่ฟาโรห์ก็ยังคงมีพระทัยแข็งกระด้างและไม่ยอมปล่อยประชากรอิสราเอลไป

ภัยพิบัติจากฝี

8 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า “จงกอบเขม่าจากเตาขึ้นมาและให้โมเสสซัดขึ้นไปในอากาศต่อหน้าฟาโรห์

9 เขม่านั้นจะกลายเป็นฝุ่นละเอียดฟุ้งตลบไปทั่วดินแดนอียิปต์ ทำให้เกิดฝีแตกลามตามตัวผู้คนและสัตว์ทั่วแผ่นดิน”

10 ดังนั้นเขาทั้งสองจึงนำเขม่าจากเตาไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ แล้วโมเสสก็ซัดเขม่าขึ้นไปในอากาศ ทำให้เกิดเป็นฝีแตกลามทั่วตัวคนและสัตว์

11 บรรดานักเล่นอาคมไม่อาจยืนสู้หน้าโมเสสได้ เพราะฝีขึ้นที่ตัวพวกเขาเหมือนชาวอียิปต์ทั้งปวงด้วย

12 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้ฟาโรห์มีพระทัยแข็งกระด้างไม่ยอมฟังโมเสสและอาโรน ดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้กับโมเสส

ภัยพิบัติจากลูกเห็บ

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงตื่นแต่เช้ามืดไปเข้าเฝ้าฟาโรห์และบอกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของชนฮีบรูตรัสดังนี้ว่า จงปล่อยประชากรของเราไปเพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา

14 มิฉะนั้นครั้งนี้เราจะส่งภัยพิบัติอย่างรุนแรงมายังเจ้า ข้าราชการและราษฎรของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าทั่วพิภพนี้ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนเรา

15 แม้ในขณะนี้เราจะเหยียดมือออกทำลายเจ้าและประชากรของเจ้าด้วยภัยพิบัติที่จะกวาดล้างเจ้าจากแผ่นดินโลกก็ได้

16 แต่เราได้ยกเจ้าให้เป็นใหญ่ก็เพื่อจุดประสงค์ข้อนี้เอง คือเพื่อเราจะได้สำแดงฤทธิ์อำนาจของเราแก่เจ้า และเพื่อนามของเราจะเลื่องลือไปทั่วโลก

17 เจ้ายังตั้งตัวเป็นศัตรูกับประชากรของเราและไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป

18 เพราะฉะนั้นในวันพรุ่งนี้เวลานี้ เราจะส่งพายุลูกเห็บมากระหน่ำอียิปต์อย่างรุนแรงที่สุด อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศมา

19 ฉะนั้นเจ้าจงสั่งให้ต้อนฝูงสัตว์และนำทุกสิ่งที่เจ้ามีในท้องทุ่งเข้าที่กำบัง เพราะคนหรือสัตว์ใดๆ ที่ยังคงอยู่นอกชายคาจะถูกลูกเห็บซัดถึงตาย’ ”

20 เหล่าข้าราชการของฟาโรห์ที่เกรงกลัวพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ารีบนำข้าทาสและฝูงสัตว์เข้ามาอยู่ใต้ชายคา

21 ส่วนคนที่ไม่ใส่ใจพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ปล่อยข้าทาสบริวารและฝูงสัตว์ไว้ในท้องทุ่ง

22 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงชูมือขึ้นฟ้าเพื่อจะมีลูกเห็บตกทั่วดินแดนอียิปต์ ตกลงมาบนผู้คน สัตว์ และบนพืชพันธุ์ทั้งหมดที่อยู่ในท้องทุ่งของอียิปต์”

23 เมื่อโมเสสชูไม้เท้าขึ้นสู่ท้องฟ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้เกิดฟ้าแลบฟ้าร้อง ฟ้าผ่าและพายุลูกเห็บตกลงมา ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้พายุลูกเห็บตกลงในดินแดนอียิปต์

24 ลูกเห็บตกลงมาและมีฟ้าแลบฟ้าร้อง พายุในคราวนี้ร้ายแรงที่สุดในอียิปต์ตั้งแต่สร้างชาติมา

25 ลูกเห็บตกลงมาทั่วแผ่นดินอียิปต์ กระหน่ำใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่กลางแจ้งทั้งคนและสัตว์ ทำลายพืชพันธุ์ทั้งสิ้นในท้องทุ่งและต้นไม้ทุกต้นหักโค่น

26 เว้นแต่ดินแดนโกเชนซึ่งชาวอิสราเอลอาศัยอยู่ ไม่มีลูกเห็บตกเลย

27 แล้วฟาโรห์เรียกโมเสสกับอาโรนให้มาเข้าเฝ้าและตรัสกับเขาว่า “คราวนี้เราได้ทำบาปองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นฝ่ายถูก เราและประชาชนของเราเป็นฝ่ายผิด

28 ช่วยวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าให้หยุดฟ้าคะนองและพายุลูกเห็บเถิด แล้วเราจะปล่อยพวกเจ้าไปทันที พวกเจ้าไม่ต้องอยู่อีกต่อไป”

29 โมเสสทูลว่า “เมื่อข้าพระบาทออกจากเมืองไปแล้ว ข้าพระบาทจะชูมืออธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วฟ้าคะนองและลูกเห็บก็จะหยุด เพื่อฝ่าพระบาทจะได้ทรงทราบว่าโลกนี้เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า

30 แต่ข้าพระบาทก็ทราบว่าฝ่าพระบาทกับข้าราชการจะยังคงไม่ยำเกรงพระเจ้าพระยาห์เวห์”

31 (ต้นป่านและข้าวบาร์เลย์ถูกทำลายย่อยยับ เพราะข้าวบาร์เลย์ชูรวงแล้วและต้นป่านก็กำลังออกดอก

32 แต่ข้าวสาลีและข้าวสแปลต์ไม่ถูกทำลายไป เพราะสุกช้ากว่า)

33 แล้วโมเสสจึงทูลลาฟาโรห์ออกไปนอกเมือง เขาชูมือขึ้นฟ้าทูลขอองค์พระผู้เป็นเจ้าพายุฟ้าคะนอง และลูกเห็บก็หยุด ฝนก็หยุดตก

34 เมื่อฟาโรห์เห็นทุกอย่างสงบลงแล้ว พระองค์ก็ทำบาปอีก คือพระองค์และข้าราชการของพระองค์ทำใจแข็งกระด้าง

35 เป็นอันว่าฟาโรห์มีพระทัยแข็งกระด้างไม่ยอมให้ประชากรอิสราเอลออกไป เป็นจริงตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสผ่านโมเสสไว้แล้ว

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/9-b62748324a7f061b8aeff9897ce5d7cc.mp3?version_id=179—

อพยพ 10

ภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตน

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงกลับไปพบฟาโรห์อีก เพราะเราทำให้เขากับข้าราชการใจแข็งกระด้าง เพื่อเราจะแสดงหมายสำคัญของเราท่ามกลางพวกเขา

2 เพื่อเจ้าจะได้เล่าให้ลูกหลานฟังถึงการที่เราจัดการกับชาวอียิปต์อย่างหนักหน่วง และเราได้แสดงหมายสำคัญของเราท่ามกลางพวกเขาแล้ว พวกเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์”

3 ดังนั้นโมเสสกับอาโรนจึงไปเข้าเฝ้าฟาโรห์และทูลว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของชนฮีบรูตรัสว่า ‘เจ้าจะไม่ยอมถ่อมตัวลงต่อหน้าเราอีกนานเท่าใด? จงปล่อยประชากรของเราไปเพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา

4 หากเจ้าไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป เราจะนำตั๊กแตนมาสู่ประเทศของเจ้าในวันพรุ่งนี้

5 ตั๊กแตนจะแห่มามืดฟ้ามัวดินและกัดกินพืชพันธุ์ทุกอย่างที่เหลือรอดจากลูกเห็บ รวมทั้งต้นไม้ทุกต้นในเรือกสวนไร่นาของเจ้า

6 ตั๊กแตนจะเข้ามาเต็มพระราชวัง เต็มบ้านของข้าราชการทุกคนและทุกบ้านในอียิปต์ นี่คือสิ่งที่บรรพบุรุษของเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่พวกเขาตั้งรกรากในแผ่นดินนี้’ ” แล้วโมเสสก็ไปจากฟาโรห์

7 บรรดาข้าราชการทูลฟาโรห์ว่า “ชายคนนี้จะเป็นบ่วงดักเราไปนานเท่าใด? ขอทรงปล่อยชนชาตินี้ไปนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาเถิด ฝ่าพระบาทยังไม่ทรงตระหนักหรือว่าอียิปต์พินาศแล้ว?”

8 โมเสสและอาโรนจึงถูกนำตัวมาเข้าเฝ้าฟาโรห์อีก ฟาโรห์ตรัสว่า “ไปนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าเถิด แต่จะมีใครไปบ้าง?”

9 โมเสสทูลตอบว่า “พวกข้าพระบาทจะไปกันทั้งหมด ทั้งคนหนุ่มคนแก่ บุตรชายบุตรสาว และฝูงสัตว์ เพราะพวกเราจะไปเลี้ยงฉลองถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า”

10 ฟาโรห์ตรัสว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่กับเจ้าเถิด หากเราปล่อยเจ้าไปพร้อมกับผู้หญิงและเด็กๆ! เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีแผนการร้าย

11 ไม่ได้! ให้เฉพาะพวกผู้ชายไปนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะนั่นเป็นสิ่งที่เจ้าขอไว้” แล้วโมเสสกับอาโรนก็ถูกไล่ออกไปให้พ้นพระพักตร์ฟาโรห์

12 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงชูมือขึ้นเหนืออียิปต์เพื่อฝูงตั๊กแตนจะได้มาปกคลุมทั่วดินแดนและกัดกินพืชพันธุ์ทุกอย่างในท้องทุ่งที่เหลือจากการทำลายล้างของลูกเห็บ”

13 โมเสสจึงชูไม้เท้าขึ้นเหนืออียิปต์ และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้ลมตะวันออกพัดผ่านทั่วแผ่นดินตลอดวันตลอดคืน รุ่งเช้าลมก็หอบเอาตั๊กแตนมา

14 ฝูงตั๊กแตนปกคลุมทั่วดินแดนอียิปต์จำนวนมากมายมหาศาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และจะไม่มีเหมือนครั้งนั้นอีกเลย

15 ฝูงตั๊กแตนปกคลุมแผ่นดินจนดูมืดทึบ มันกัดกินทุกสิ่งที่เหลือจากพายุลูกเห็บ คือพืชพันธุ์ทั้งสิ้นในท้องทุ่งและผลไม้ต่างๆ ไม่มีพืชสีเขียวหลงเหลืออยู่ ไม่ว่าต้นไม้หรือใบหญ้าทั่วดินแดนอียิปต์

16 ฟาโรห์จึงมีรับสั่งด่วนเรียกโมเสสกับอาโรนมาเข้าเฝ้าและตรัสว่า “เราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าและต่อเจ้า

17 บัดนี้ขอยกโทษบาปให้เราอีกสักครั้งและช่วยทูลวิงวอนพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าให้ขจัดมรณภัยนี้ไปจากเราเถิด”

18 โมเสสจึงทูลลาฟาโรห์ไป แล้วอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

19 และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปลี่ยนทิศทางลมให้เป็นลมตะวันตกที่พัดแรงมาก หอบเอาฝูงตั๊กแตนไปทิ้งในทะเลแดงจนไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียวในอียิปต์

20 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้ฟาโรห์มีพระทัยแข็งกระด้างและไม่ยอมปล่อยชนอิสราเอลไป

ภัยพิบัติจากความมืด

21 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อให้ความมืดมิดจนรู้สึกได้มาครอบคลุมทั่วอียิปต์”

22 ดังนั้นโมเสสก็เหยียดมือขึ้นสู่ท้องฟ้า จึงมีแต่ความมืดสนิทปกคลุมทั่วอียิปต์ตลอดสามวัน

23 ช่วงสามวันนี้ไม่มีใครมองเห็นกันหรือขยับลุกจากที่ แต่คนอิสราเอลมีแสงสว่างในที่พักของเขา

24 แล้วฟาโรห์จึงรับสั่งเรียกโมเสสมาเข้าเฝ้าและตรัสว่า “จงไปนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าเอาพวกผู้หญิงและเด็กไปด้วยก็ได้ แต่ฝูงสัตว์ทั้งหลายจงละไว้ที่นี่”

25 แต่โมเสสทูลว่า “ฝ่าพระบาทจะต้องอนุญาตให้พวกข้าพระบาทเอาฝูงสัตว์ไปเป็นของถวายและเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระบาททั้งหลายด้วย

26 ฝูงสัตว์ของข้าพระบาททั้งหลายจะต้องไปด้วย จะไม่มีสัตว์เหลืออยู่แม้แต่ตัวเดียว เพราะข้าพระบาททั้งหลายจำเป็นต้องใช้สัตว์เหล่านั้นเป็นเครื่องบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเหล่าข้าพระบาท และยังไม่ทราบว่าจะใช้สัตว์ชนิดใดถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าจนกว่าพวกข้าพระบาทจะไปถึงที่นั่น”

27 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้ฟาโรห์มีพระทัยแข็งกระด้าง ไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป

28 ฟาโรห์ตรัสกับโมเสสว่า “ไปให้พ้น! อย่ามาให้เราเห็นหน้าอีก! วันที่เจ้าเห็นหน้าเรา เจ้าจะต้องตายแน่”

29 โมเสสทูลว่า “แน่นอน ข้าพระบาทจะไม่มาเข้าเฝ้าฝ่าพระบาทอีกเลย”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/10-1e6067949abbc8f938789e89f9df4991.mp3?version_id=179—

อพยพ 11

ภัยพิบัติมาถึงบุตรหัวปี

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เราจะส่งภัยพิบัติอีกอย่างหนึ่งมายังฟาโรห์และดินแดนอียิปต์ หลังจากนั้นเขาจะยอมปล่อยเจ้าไปจากที่นี่ เขาจะเสือกไสพวกเจ้าออกไปจนหมด

2 จงบอกชนอิสราเอลทั้งชายหญิงให้เตรียมขอเครื่องเงินเครื่องทองของมีค่าจากเพื่อนบ้านไว้”

3 (องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้ชาวอียิปต์ชื่นชอบชาวอิสราเอลมาก และโมเสสเองก็เป็นที่นับหน้าถือตาอย่างสูงในอียิปต์ ทั้งข้าราชการของฟาโรห์และประชาชนอียิปต์ล้วนเคารพยำเกรงเขา)

4 ดังนั้นโมเสสจึงกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘ประมาณเที่ยงคืนเราจะไปทั่วอียิปต์

5 แล้วลูกชายหัวปีทุกคนในอียิปต์จะต้องตาย ตั้งแต่โอรสหัวปีของฟาโรห์ผู้ประทับบนบัลลังก์ ไปจนถึงลูกชายหัวปีของทาสหญิงที่กำลังโม่แป้ง และแม้แต่ลูกหัวปีของสัตว์ด้วย

6 เสียงร่ำไห้จะดังระงมไปทั่วแดนอียิปต์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีเกิดขึ้นอีก

7 แต่ท่ามกลางชนอิสราเอลจะไม่มีอะไรมากล้ำกราย ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ไม่มีแม้แต่เสียงสุนัขเห่า’ แล้วฝ่าพระบาทจะได้ทรงทราบว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดข้อแตกต่างระหว่างอิสราเอลกับอียิปต์

8 บรรดาข้าราชการของฝ่าพระบาทจะรีบมาหาข้าพระบาท และกราบกรานอ้อนวอนว่า ‘กรุณาออกไปเถิด พาผู้คนทั้งหมดไปกับท่านด้วย’ เมื่อนั้นข้าพระบาทจึงจะไป” แล้วโมเสสก็ทูลลาฟาโรห์ไปด้วยความโกรธ

9 องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับโมเสสไว้แล้วว่า “ฟาโรห์จะไม่ฟังเจ้า เพื่อว่าการอัศจรรย์ของเราจะได้เพิ่มทวียิ่งขึ้นในอียิปต์”

10 โมเสสและอาโรนได้ทำการอัศจรรย์ทั้งหมดนี้ต่อหน้าฟาโรห์ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้ฟาโรห์มีพระทัยแข็งกระด้างและไม่ยอมปล่อยชนอิสราเอลออกจากอียิปต์

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/11-1b11199927e24f48ca6136d59551f601.mp3?version_id=179—

อพยพ 12

ปัสกา

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนในอียิปต์ว่า

2 “นับแต่นี้ไป ให้เดือนนี้เป็นเดือนแรกของเจ้า เป็นเดือนแรกของปีสำหรับเจ้า

3 จงแจ้งแก่ชุมชนอิสราเอลทั้งหมดว่า ในวันที่สิบของเดือนนี้ แต่ละครอบครัวจะคัดลูกแกะตัวหนึ่ง

4 หรือหากเป็นครอบครัวเล็กมีคนน้อยกินลูกแกะตัวหนึ่งไม่หมด ก็ให้รวมกับเพื่อนบ้านซึ่งอยู่ใกล้กันที่สุด เลือกลูกแกะให้เหมาะกับจำนวนคนที่จะกินและตามปริมาณที่แต่ละคนจะกินได้

5 สัตว์ที่เจ้าเลือกนี้อาจจะเอามาจากฝูงแกะหรือแพะ และต้องเป็นตัวผู้อายุหนึ่งปีไม่มีตำหนิ

6 จงดูแลมันไว้จนถึงเย็นวันที่สิบสี่ของเดือน ซึ่งเป็นเวลาที่ประชากรของชุมชนอิสราเอลทั้งปวงจะต้องฆ่าลูกแกะในตอนพลบค่ำ

7 แล้วให้พวกเขาเอาเลือดบางส่วนทาที่ด้านข้างและด้านบนของวงกบประตูบ้านที่เขากินลูกแกะนั้น

8 คืนวันนั้นทุกคนจงกินแกะหรือแพะย่าง ขนมปังไม่ใส่เชื้อ และผักรสขม

9 อย่ากินเนื้อทั้งดิบๆ หรือเนื้อต้ม แต่จงย่างทั้งหัว ขา และเครื่องใน

10 หากกินไม่หมดในคืนวันนั้น วันรุ่งขึ้นจงเผาส่วนที่เหลือทิ้ง

11 ในการกินเลี้ยงนี้ จงสวมชุดเดินทาง คาดเข็มขัด ใส่รองเท้า และถือไม้เท้าไว้ จงกินอย่างเร่งรีบ การฉลองนี้คือปัสกาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

12 “ในคืนเดียวกันนั้นเราจะไปทั่วอียิปต์และประหารลูกหัวปีทั้งหมดไม่ว่าของคนหรือของสัตว์ และจะลงโทษพระทั้งปวงของอียิปต์ เราคือพระยาห์เวห์

13 บ้านที่เจ้าอยู่จะมีเลือดเป็นเครื่องหมายสำหรับเจ้า และเมื่อเรามองเห็นเลือดนั้นเราจะผ่านเจ้าไป จะไม่มีภัยพิบัติใดมาแผ้วพานเจ้าเมื่อเราลงโทษอียิปต์

14 “นี่คือวันที่เจ้าต้องรำลึก เจ้าจงถือเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นข้อปฏิบัติถาวรสืบไปทุกชั่วอายุ

15 เจ้าต้องกินขนมปังไม่ใส่เชื้อตลอดเจ็ดวัน ในวันแรกเจ้าจงกำจัดเชื้อออกจากบ้านของเจ้า เพราะผู้ใดกินสิ่งใดที่มีเชื้อจากวันแรกจนถึงวันที่เจ็ดจะถูกตัดออกจากอิสราเอล

16 ในวันแรกและวันที่เจ็ดของพิธีฉลอง จัดให้มีการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์ อย่าทำงานใดๆ ในสองวันนั้นนอกจากเตรียมอาหารให้ทุกคนรับประทาน นั่นคือทั้งหมดที่เจ้าทำได้

17 “จงฉลองเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อ เพราะวันนี้คือวันที่เรานำหมู่เหล่าของเจ้าออกจากอียิปต์ จงเฉลิมฉลองวันนี้ให้เป็นข้อปฏิบัติถาวรสืบไปทุกชั่วอายุ

18 ตั้งแต่เย็นวันที่สิบสี่จนถึงเย็นวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนที่หนึ่ง จงกินแต่ขนมปังไม่ใส่เชื้อ

19 ตลอดเจ็ดวันนี้ อย่าให้มีเชื้อทำขนมปังในบ้านของพวกเจ้า และผู้ที่กินสิ่งที่มีเชื้อจะถูกตัดออกจากชุมชนอิสราเอล ไม่ว่าจะเป็นคนต่างด้าวหรือเป็นคนอิสราเอลโดยกำเนิด

20 ไม่ว่าเจ้าอยู่ที่ใด อย่ากินสิ่งใดที่ใส่เชื้อ จงกินแต่ขนมปังไม่ใส่เชื้อเท่านั้น”

21 แล้วโมเสสเชิญผู้อาวุโสของอิสราเอลมาทั้งหมดและบอกคนเหล่านั้นว่า “จงไปคัดเลือกลูกแกะหรือลูกแพะจากฝูงมาสำหรับครอบครัวของท่านแล้วฆ่าแกะปัสกานั้น

22 จงเอากิ่งหุสบกำหนึ่งจุ่มลงในเลือดลูกแกะที่รองไว้ในอ่าง แล้วทาที่ขอบบนของประตูและที่วงกบประตูทั้งสองด้าน อย่าให้ผู้ใดออกไปนอกประตูบ้านตราบจนรุ่งเช้า

23 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จไปทั่วดินแดนเพื่อประหารชาวอียิปต์ จะทรงเห็นเลือดที่ขอบบนและที่วงกบประตูทั้งสองด้าน พระองค์จะเสด็จผ่านประตูนั้นไป ไม่ทรงอนุญาตให้เพชฌฆาตเข้าไปในบ้านประหารพวกท่าน

24 “จงปฏิบัติตามคำสั่งเหล่านี้โดยถือเป็นข้อปฏิบัติถาวรสำหรับท่านและลูกหลานของท่าน

25 เมื่อท่านทั้งหลายเข้าสู่ดินแดนซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานแก่ท่านตามพระสัญญาแล้ว จงถือปฏิบัติพิธีนี้

26 และเมื่อลูกหลานของท่านถามว่า ‘พิธีนี้มีความหมายอย่างไรสำหรับท่าน?’

27 จงบอกพวกเขาว่า ‘เป็นการเฉลิมฉลองปัสกาขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงผ่านบ้านของอิสราเอลในอียิปต์ไป เมื่อทรงประหารชาวอียิปต์และทรงละเว้นบ้านของพวกเรา’ ” แล้วประชาชนต่างกราบลงนมัสการ

28 ประชากรอิสราเอลได้ทำตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสสกับอาโรนทุกประการ

29 เที่ยงคืนวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประหารบุตรหัวปีทั้งหมดในอียิปต์ ตั้งแต่ราชบุตรหัวปีของฟาโรห์ผู้ประทับบนบัลลังก์ลงมาจนถึงบุตรชายหัวปีของนักโทษในคุก ตลอดจนลูกหัวปีของสัตว์ทั้งหลายด้วย

30 ฟาโรห์และข้าราชการตลอดจนชาวอียิปต์ทั้งปวงตื่นขึ้นมากลางดึก ร้องไห้คร่ำครวญดังระงมไปทั่วอียิปต์เพราะทุกบ้านมีคนตาย

การอพยพ

31 ฟาโรห์รับสั่งให้ตามตัวโมเสสกับอาโรนมากลางดึกและตรัสว่า “ไป! เจ้ากับพวกอิสราเอล! จงไปให้พ้นพวกเรา จงไปนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่เจ้าขอไว้

32 เอาฝูงสัตว์ไปอย่างที่ว่าไว้และอวยพรเราด้วย”

33 ชาวอียิปต์ต่างเร่งชนอิสราเอลให้รีบออกไปจากประเทศ พวกเขาพูดว่า “ไม่เช่นนั้น เราจะล้มตายกันหมด!”

34 ประชากรอิสราเอลเอาแป้งดิบที่ผสมเสร็จแล้วแต่ยังไม่ใส่เชื้อและเอารางนวดแป้งห่อผ้าแบกไปด้วย

35 พวกเขาทำตามที่โมเสสบอก และขอเครื่องเงินเครื่องทองและเสื้อผ้าจากชาวอียิปต์

36 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้ชาวอียิปต์ชื่นชอบชาวอิสราเอลและยกข้าวของให้ตามที่พวกเขาขอ ชาวอิสราเอลยึดสิ่งของของชาวอียิปต์ไปด้วยวิธีนี้

37 คืนนั้นชาวอิสราเอลราวหกแสนคน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก เดินเท้าออกจากเมืองราเมเสสไปยังเมืองสุคคท

38 มีชนชาติอื่นๆ มากมายร่วมเดินทางและมีฝูงสัตว์จำนวนมากไปกับพวกเขาด้วย

39 เมื่อพวกเขาหยุดพักรับประทานอาหารก็นำแป้งดิบที่ไม่ใส่เชื้อออกมาปิ้ง ที่ไม่ได้ใส่เชื้อก็เพราะถูกขับออกจากอียิปต์ จึงไม่มีเวลาเตรียมอาหาร

40 ชนอิสราเอลอาศัยอยู่ในอียิปต์430 ปี

41 วันสุดท้ายของ 430 ปีนั้น ประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้าทุกหมู่เหล่าก็ออกจากดินแดนอียิปต์

42 เพราะว่าในค่ำคืนนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เฝ้าระวังเพื่อนำพวกเขาออกจากอียิปต์ ดังนั้นในคืนวันนี้อิสราเอลทั้งปวงจะเฝ้าระวังอยู่ตลอดคืน เพื่อถวายเกียรติยศแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดทุกชั่วอายุ

กฎของพิธีปัสกา

43 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า “ต่อไปนี้เป็นระเบียบของพิธีปัสกาคือ

“ห้ามชาวต่างชาติกินเนื้อลูกแกะปัสกา

44 แต่ทาสที่เจ้าซื้อมาและเข้าสุหนัตแล้วกินได้

45 ส่วนลูกจ้างหรือแขกต่างเมืองห้ามกิน

46 “จงกินแกะอยู่ในบ้าน อย่ายกออกไปนอกบ้าน และอย่าหักกระดูกของมันเลย

47 ชุมชนอิสราเอลทั้งหมดจะต้องฉลองพิธีนี้

48 “สำหรับคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในหมู่พวกเจ้า หากต้องการเข้าร่วมปัสกาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าจงให้ผู้ชายทุกคนในครัวเรือนของเขาเข้าสุหนัตแล้วจึงเข้าร่วมพิธีได้เหมือนคนเชื้อชาติเดียวกับพวกเจ้า ชายที่ไม่ได้เข้าสุหนัตจะกินแกะปัสกาไม่ได้

49 กฎข้อนี้ใช้ได้ทั้งกับคนอิสราเอลโดยกำเนิดและกับคนต่างชาติซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่พวกเจ้า”

50 ชนอิสราเอลทั้งปวงก็ปฏิบัติตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสสกับอาโรนไว้ทุกประการ

51 และในวันนั้นเององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำชนอิสราเอลออกจากดินแดนอียิปต์เป็นหมู่เหล่า

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/12-dcc90d0bc09c13f77b25f946650f86c3.mp3?version_id=179—

อพยพ 13

การถวายบุตรหัวปี

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

2 “จงแยกบุตรชายหัวปีทุกคนและสัตว์หัวปีตัวผู้ทุกตัวมอบถวายแก่เรา ลูกหัวปีท่ามกลางอิสราเอลไม่ว่าคนหรือสัตว์ล้วนเป็นของเรา”

3 แล้วโมเสสกล่าวแก่เหล่าประชากรว่า “จงระลึกถึงวันนี้ วันที่ท่านออกมาจากอียิปต์ ออกจากดินแดนแห่งการเป็นทาส เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำท่านทั้งหลายออกมาด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ ท่านอย่ารับประทานอาหารใดๆ ที่ใส่เชื้อ

4 ท่านทั้งหลายออกมาในวันนี้ในเดือนอาบีบ

5 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำท่านเข้าสู่ดินแดนของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส ตามที่พระองค์ทรงสาบานไว้กับบรรพบุรุษของท่านว่าจะประทานแก่ท่าน ดินแดนซึ่งอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง ท่านทั้งหลายจงถือพิธีดังกล่าวในเดือนนี้

6 ตลอดเจ็ดวันท่านจงกินขนมปังไม่ใส่เชื้อ แล้วในวันที่เจ็ดจะมีพิธีเลี้ยงฉลองถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

7 ตลอดเจ็ดวันจงกินขนมปังไม่ใส่เชื้อและอย่าให้มีเชื้ออยู่ท่ามกลางพวกท่านหรือที่ใดๆ ในเขตแดนของท่าน

8 ในวันนั้นจงบอกบุตรหลานว่า ‘ที่เราทำเช่นนี้ก็เพื่อรำลึกถึงสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำเพื่อเราเมื่อเราออกจากอียิปต์’

9 พิธีรำลึกนี้จะเป็นเหมือนเครื่องหมายที่มือของท่านและเป็นเครื่องเตือนใจที่หน้าผากของท่าน เพื่อบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะอยู่ที่ริมฝีปากของท่าน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำท่านออกจากอียิปต์โดยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์

10 ท่านต้องรักษาข้อปฏิบัตินี้ตามเวลาที่กำหนดเป็นประจำทุกปี

11 “หลังจากที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำท่านทั้งหลายเข้าสู่ดินแดนคานาอันและประทานดินแดนแก่ท่านตามที่ทรงสัญญาโดยปฏิญาณไว้กับท่านและบรรพบุรุษของท่านแล้ว

12 ท่านจงถวายลูกหัวปีจากทุกครรภ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าลูกสัตว์หัวปีตัวผู้ทุกตัวในฝูงสัตว์ของท่านเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า

13 จงใช้ลูกแกะหนึ่งตัวไถ่ลาหัวปีแต่ละตัว แต่ถ้าท่านไม่ไถ่จงหักคอลานั้นเสีย ส่วนบุตรชายหัวปีจงไถ่ไว้ทุกคน

14 “และในอนาคต เมื่อลูกหลานถามท่านว่า ‘นี่หมายความว่าอะไร?’ ท่านจงบอกพวกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำพวกเราออกมาจากอียิปต์ พ้นจากดินแดนแห่งความเป็นทาสโดยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์

15 เมื่อฟาโรห์ดื้อรั้นไม่ยอมปล่อยเราออกมาองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประหารลูกหัวปีทั้งหมดในอียิปต์ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงถวายบุตรชายหัวปีและสัตว์หัวปีตัวผู้แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าแต่บุตรชายหัวปีให้ไถ่คืนมา’

16 พิธีนี้จะเป็นเหมือนเครื่องหมายที่มือของท่านและเป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่หน้าผากของท่านว่า ทรงนำพวกเราออกมาจากอียิปต์ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์”

ข้ามทะเล

17 เมื่อฟาโรห์ปล่อยประชากรอิสราเอลไป พระเจ้าไม่ได้ทรงนำพวกเขาผ่านดินแดนของชาวฟีลิสเตีย แม้ว่าเส้นทางนั้นสั้นกว่า เพราะพระเจ้าตรัสว่า “ถ้าหากพวกเขาต้องทำสงคราม เขาอาจจะเปลี่ยนใจและหันกลับไปอียิปต์”

18 ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงนำเหล่าประชากรอ้อมไปตามเส้นทางทุรกันดารไปสู่ทะเลแดงชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ถืออาวุธพร้อมรบ

19 โมเสสนำกระดูกของโยเซฟไปด้วย เพราะโยเซฟได้ให้บุตรของอิสราเอลสาบานไว้ โยเซฟกล่าวว่า “พระเจ้าจะเสด็จมาช่วยเหลือพวกเจ้าอย่างแน่นอน และเมื่อนั้นพวกเจ้าจะต้องนำกระดูกของเราออกจากที่นี่ไปกับเจ้าด้วย”

20 เมื่อออกจากเมืองสุคคท พวกเขาตั้งค่ายพักแรมที่เอธามริมทะเลทราย

21 องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จล่วงหน้าพวกเขาไปในเสาเมฆเพื่อนำทางพวกเขาในเวลากลางวัน และในเสาเพลิงเพื่อให้แสงสว่างแก่พวกเขาในเวลากลางคืน เพื่อพวกเขาจะเดินทางได้ทั้งกลางวันและกลางคืน

22 ทั้งเสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืนไม่เคยคลาดจากเบื้องหน้าประชากรเลย

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/13-b554bb3f72daad4854b75bdbe4e528fa.mp3?version_id=179—

อพยพ 14

1 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสสว่า

2 “จงบอกชนอิสราเอลให้วกไปตั้งค่ายใกล้ปีหะหิโรท ซึ่งอยู่ระหว่างมิกดลกับทะเลแดง ให้พวกเขาตั้งค่ายริมทะเลตรงข้ามบาอัลเซโฟน

3 ฟาโรห์จะคิดว่า ‘ชาวอิสราเอลนั้นเร่ร่อนไปทั่วดินแดนด้วยความสับสน ติดกับอยู่ในทะเลทราย’

4 เราจะทำให้ฟาโรห์ใจแข็งกระด้าง เขาจะไล่ตามพวกเจ้า เพื่อเราจะได้รับเกียรติโดยทางฟาโรห์กับกองทัพทั้งสิ้นของเขา และชาวอียิปต์ทั้งหลายจะได้รู้ว่าเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า” ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงตั้งค่ายพักแรมตามคำสั่ง

5 เมื่อกษัตริย์อียิปต์ทรงทราบว่าชาวอิสราเอลหนีไปแล้ว ฟาโรห์กับเหล่าข้าราชการก็เปลี่ยนใจ แล้วฟาโรห์ตรัสว่า “เราทำอะไรลงไป? ทำไมเราปล่อยชาวอิสราเอลไปและสูญเสียแรงงานของพวกเขา!”

6 ดังนั้นฟาโรห์จึงเสด็จขึ้นรถม้าศึกและนำกองทัพไปด้วย

7 พระองค์ทรงนำรถม้าศึกที่ดีที่สุดหกร้อยคันและรถม้าศึกอื่นๆ ทั้งปวงของอียิปต์พร้อมทั้งนายทหารบัญชาการ

8 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์มีใจแข็งกระด้าง ฟาโรห์จึงไล่ตามชนอิสราเอลซึ่งยกขบวนออกมาอย่างกล้าหาญ

9 กองทัพอียิปต์ได้แก่ กองม้า รถม้าศึก และพลม้าและทหารของฟาโรห์ทั้งสิ้นออกติดตามชาวอิสราเอลมาทันพวกเขาซึ่งตั้งค่ายริมทะเล ใกล้ปีหะหิโรท ตรงข้ามกับบาอัลเซโฟน

10 เมื่อชนอิสราเอลมองเห็นกองทัพอียิปต์เข้ามาใกล้ก็ตกใจกลัวยิ่งนักและร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า

11 พวกเขากล่าวกับโมเสสว่า “ที่อียิปต์ไม่มีหลุมฝังศพพวกเราหรือ? ท่านจึงพาเรามาตายในถิ่นกันดารนี้ ทำไมหนอท่านจึงนำเราออกมาจากอียิปต์?

12 เราบอกท่านตั้งแต่อยู่ที่อียิปต์แล้วไม่ใช่หรือว่า ‘อย่ามายุ่งกับพวกเรา ปล่อยให้เรารับใช้ชาวอียิปต์’? ปล่อยให้เรารับใช้ชาวอียิปต์ก็ยังดีกว่าเอาชีวิตมาทิ้งในถิ่นกันดารนี้!”

13 โมเสสตอบประชากรว่า “อย่ากลัวเลย จงหนักแน่นเข้าไว้ ท่านจะได้เห็นการช่วยกู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงนำมาให้ท่านในวันนี้ ท่านจะไม่ได้เห็นชาวอียิปต์ที่ท่านเห็นอยู่ในเวลานี้อีกเลย

14 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงสู้รบแทนพวกท่านเอง ท่านเพียงแต่นิ่งไว้เถิด”

15 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสสว่า “เจ้ามัวร้องขอเราอยู่ทำไม? จงสั่งให้ชนอิสราเอลเคลื่อนไปข้างหน้าเถิด

16 จงยกไม้เท้าขึ้นและเหยียดมือของเจ้าออกเหนือทะเล เพื่อให้น้ำแยกออกเป็นทางให้ชนอิสราเอลเดินผ่านทะเลไปบนดินแห้ง

17 เราจะทำให้ชาวอียิปต์ใจแข็งกระด้างเพื่อพวกเขาจะรุกไล่พวกเจ้ามา แล้วเราจะได้รับเกียรติผ่านทางฟาโรห์ กองทัพ รถม้าศึก และพลม้าทั้งหมดของเขา

18 ชาวอียิปต์จะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์เมื่อเราได้รับเกียรติผ่านทางฟาโรห์และรถม้าศึกกับพลม้าของเขา”

19 จากนั้นทูตของพระเจ้าผู้ได้นำหน้ากองทัพอิสราเอลก็ถอยมาอยู่ข้างหลังพวกเขา เสาเมฆก็เคลื่อนจากข้างหน้ามาตั้งอยู่ข้างหลังพวกเขา

20 กั้นระหว่างกองทัพอียิปต์กับอิสราเอล ตลอดคืนนั้นด้านหนึ่งของเมฆให้แสงสว่างและอีกด้านหนึ่งเป็นความมืด ฉะนั้นทั้งสองฝ่ายไม่ได้เข้าใกล้กันเลยตลอดคืน

21 ฝ่ายโมเสสเหยียดมือออกเหนือทะเลแดง และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้มีลมตะวันออกพัดกล้าตลอดคืน ทำให้พื้นทะเลเป็นที่แห้ง น้ำถูกแยกออกจากกัน

22 ชาวอิสราเอลจึงเดินผ่านทะเลบนพื้นแห้ง สองข้างทางคือกำแพงน้ำ

23 กองทัพอียิปต์ ทั้งม้า รถม้าศึก และพลม้าของฟาโรห์ก็รุกไล่ตามพวกเขาเข้าไปในทะเล

24 ในเวลาเช้ามืดองค์พระผู้เป็นเจ้าทอดพระเนตรจากเสาเพลิงและเสาเมฆเห็นกองทัพอียิปต์จึงทรงกระทำให้พวกเขาสับสนวุ่นวาย

25 พระองค์ทรงทำให้ล้อรถของเขาหลุดออกมาทำให้ยากที่จะขับเคลื่อน ชาวอียิปต์ร้องว่า “หนีจากพวกอิสราเอลกันเถิด!องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังต่อสู้กับอียิปต์แทนพวกเขา”

26 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงเหยียดมือของเจ้าออกไปเหนือทะเล น้ำจะได้ไหลกลับมาท่วมชาวอียิปต์ รถม้าศึก และพลม้าของเขา”

27 โมเสสปฏิบัติตาม ครั้นรุ่งสางน้ำทะเลก็ไหลกลับดังเดิม ชาวอียิปต์พากันตะเกียกตะกายหนีเอาชีวิตรอด แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกวาดพวกเขาลงทะเล

28 น้ำทะเลซัดกลับท่วมกองทัพทั้งหมดของฟาโรห์ ได้แก่รถม้าศึกและพลม้าซึ่งไล่ตามอิสราเอลเข้าไปในทะเล ไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว

29 ส่วนชาวอิสราเอลเดินบนทางแห้งข้ามทะเล โดยมีน้ำเป็นกำแพงสองข้างทาง

30 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกอบกู้อิสราเอลพ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์ อิสราเอลเห็นซากศพชาวอียิปต์เกลื่อนกลาดอยู่บนชายฝั่ง

31 เมื่อชนอิสราเอลได้เห็นฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงกระทำต่อชาวอียิปต์ ประชาชนก็เกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้าและวางใจในพระองค์และในตัวโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/14-18eab238582477e8c661eba960bb7a28.mp3?version_id=179—

อพยพ 15

บทเพลงของโมเสสและมิเรียม

1 โมเสสและชาวอิสราเอลจึงร้องเพลงนี้ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าว่า

“ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะพระองค์ทรงเป็นที่เทิดทูนสูงส่ง

พระองค์ทรงเหวี่ยงม้าและพลม้า

ลงในทะเล

2 “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นกำลังและบทเพลงของข้าพเจ้า

พระองค์ได้ทรงมาเป็นความรอดของข้าพเจ้า

พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์

ทรงเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเทิดทูนพระองค์

3 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นนักรบ

พระนามของพระองค์คือพระยาห์เวห์

4 พระองค์ทรงเหวี่ยงรถม้าศึกและกองทัพของฟาโรห์

ลงในทะเล

นายทหารฝีมือดีที่สุดของฟาโรห์

จมน้ำตายในทะเลแดง

5 น้ำลึกหลากท่วมพวกเขา

พวกเขาจมดิ่งลงในห้วงลึกเหมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง

6 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระหัตถ์ขวาของพระองค์

ทรงฤทธานุภาพน่าเกรงขาม

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระหัตถ์ขวาของพระองค์

ขยี้ศัตรูแหลกลาญ

7 ด้วยเดชานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์

พระองค์ทรงคว่ำทุกคนที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์

ทรงระบายพระพิโรธเผาผลาญพวกเขา

เหมือนไฟเผาตอข้าว

8 โดยพายุอันเกรี้ยวกราดที่พัดออกจากพระนาสิกของพระองค์

น้ำก็แยกตั้งขึ้น

น้ำที่ซัดสาดตั้งตระหง่านดั่งกำแพง

น้ำลึกตั้งขึ้นที่ใจกลางทะเล

9 “ศัตรูโอ้อวดว่า

‘ข้าจะรุกไล่พวกเขา ข้าจะตามพวกเขาทัน

แล้วเอาของที่ยึดได้มาแบ่งกัน

ข้าจะกลืนกินพวกเขา

ข้าจะชักดาบออกมา

และมือของข้าจะทำลายพวกเขา’

10 แต่พระองค์ทรงระบายลมหายใจของพระองค์

ทะเลก็ท่วมพวกเขา

เขาจมดิ่งลงในห้วงน้ำใหญ่

เหมือนก้อนตะกั่ว

11 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าในบรรดาพระทั้งปวง ใครเล่าจะเสมอเหมือนพระองค์?

ผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์?

ผู้ทรงยิ่งใหญ่ตระการในความบริสุทธิ์

ทรงเกียรติบารมีน่าครั่นคร้าม

ผู้ทรงกระทำการมหัศจรรย์

12 พระองค์ทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาออก

แผ่นดินโลกก็กลืนพวกเขา

13 “โดยความรักมั่นคงของพระองค์

พระองค์จะทรงนำประชากรที่ทรงไถ่ไว้

พระองค์จะทรงนำพวกเขาด้วยเดชานุภาพ

เข้าสู่ที่ประทับอันบริสุทธิ์ของพระองค์

14 ประชาชาติทั้งหลายจะได้ยินและสะท้านกลัว

ความหวาดหวั่นจะจู่โจมชาวฟีลิสเตีย

15 บรรดาผู้นำของเอโดมจะขวัญหนีดีฝ่อ

ผู้นำของโมอับจะตัวสั่นเทา

ประชาชนชาวคานาอันจะกลัวลาน

16 พวกเขาจะอกสั่นขวัญแขวน

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าโดยอานุภาพแห่งพระกรของพระองค์

พวกเขาจะแน่นิ่งดั่งก้อนหิน

จนกว่าประชากรของพระองค์จะผ่านไป

จนกว่าประชากรที่พระองค์ทรงซื้อไว้จะผ่านไป

17 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์จะทรงนำประชากรของพระองค์

ไปตั้งไว้บนภูเขาอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์

สถานที่ซึ่งเป็นที่ประทับของพระองค์เอง

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า สถานนมัสการที่พระหัตถ์ของพระองค์ได้สถาปนาขึ้น

18 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงครอบครอง

สืบๆ ไปเป็นนิตย์”

19 เมื่อม้า พลม้า และรถม้าศึกของฟาโรห์บุกลงทะเลตามมาองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทลายทำนบทะเลลงมาท่วมพวกเขา แต่ชนอิสราเอลเดินบนทางแห้งข้ามทะเล

20 แล้วมิเรียมผู้เผยพระวจนะหญิงพี่สาวของอาโรนก็ถือรำมะนาออกมา แล้วสตรีทั้งปวงก็ถือรำมะนาตามมิเรียมออกมาร่ายรำกับเธอ

21 มิเรียมขับร้องว่า

“จงร้องเพลงถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

เพราะพระองค์ทรงเป็นที่เทิดทูนสูงส่ง

พระองค์ทรงเหวี่ยงม้า

และพลม้าลงในทะเล”

น้ำแห่งมาราห์และเอลิม

22 จากนั้นโมเสสนำชนอิสราเอลเดินทางต่อไปจากทะเลแดงเคลื่อนเข้าสู่ถิ่นกันดารชูร์ ตลอดสามวันที่เดินทางในถิ่นกันดาร พวกเขาไม่พบน้ำเลย

23 เมื่อพวกเขามาถึงมาราห์ พวกเขาดื่มน้ำไม่ได้เพราะน้ำที่นั่นมีรสขม (ที่นั่นจึงได้ชื่อว่ามาราห์)

24 ดังนั้นเหล่าประชากรจึงบ่นว่าโมเสสว่า “จะให้พวกเราเอาอะไรดื่ม?”

25 แล้วโมเสสทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงให้เขาเห็นไม้ท่อนหนึ่ง เขาโยนมันลงไปในน้ำ น้ำก็หายขม

ที่มาราห์นี้เององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงวางกฎหมายและบทบัญญัติสำหรับเหล่าประชากรและทรงทดสอบพวกเขา

26 พระองค์ตรัสว่า “หากเจ้าตั้งใจฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าและปฏิบัติตามพระบัญชาและกฎหมาย ทำสิ่งที่เราเห็นชอบ โรคภัยไข้เจ็บซึ่งเราให้เกิดกับชาวอียิปต์นั้นจะไม่เกิดกับเจ้า เพราะเราคือพระยาห์เวห์ผู้บำบัดรักษาเจ้า”

27 แล้วพวกเขาก็มาถึงเอลิมซึ่งมีน้ำพุสิบสองแห่งและต้นอินทผลัมเจ็ดสิบต้น พวกเขาจึงตั้งค่ายพักแรมที่ริมน้ำ

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/15-fe05ec1c2f90f9aa2aefa8609278bc3a.mp3?version_id=179—

อพยพ 16

มานาและนกคุ่ม

1 จากนั้นชุมชนอิสราเอลทั้งหมดออกเดินทางจากเอลิมถึงถิ่นกันดารสีน ซึ่งอยู่ระหว่างเอลิมกับซีนาย ถึงที่นั่นในวันที่สิบห้าของเดือนที่สองนับตั้งแต่พวกเขาออกจากอียิปต์

2 ในถิ่นกันดารนั้นชนอิสราเอลทั้งปวงบ่นว่าโมเสสกับอาโรน

3 ชนอิสราเอลกล่าวกับเขาทั้งสองว่า “เราน่าจะตายด้วยน้ำมือขององค์พระผู้เป็นเจ้าตั้งแต่อยู่ที่อียิปต์แล้ว! ตอนที่เราอยู่ที่นั่น เรานั่งล้อมวงหม้อเนื้อและกินอาหารทุกอย่างที่เราต้องการ แต่ท่านพาเราออกมาอดตายกันหมดในถิ่นกันดาร”

4 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “ดูเถิด เราจะให้อาหารตกลงมาจากท้องฟ้าแก่พวกเจ้า ให้ทุกคนออกไปเก็บอาหารแต่ละวันมากน้อยตามความต้องการในวันนั้น เราจะทดลองดูว่าพวกเขาจะปฏิบัติตามคำสั่งของเราหรือไม่

5 บอกพวกเขาว่าให้เก็บอาหารมากกว่าปกติเป็นสองเท่าในวันที่หก”

6 ดังนั้นโมเสสกับอาโรนจึงกล่าวแก่ประชากรอิสราเอลว่า “ในเวลาเย็นท่านจะรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่นำท่านออกจากอียิปต์

7 และในเวลาเช้าท่านจะเห็นพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะพระองค์ทรงได้ยินพวกท่านบ่นว่าพระองค์ แล้วเราทั้งสองเป็นใครกันเล่า ท่านจึงมาบ่นว่าเรา?”

8 โมเสสกล่าวอีกว่า “ท่านจะรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อพระองค์ประทานเนื้อให้ในเวลาเย็นและประทานอาหารทั้งหมดที่ท่านต้องการในเวลาเช้า เพราะพระองค์ทรงได้ยินท่านบ่นว่าพระองค์แล้ว เราเป็นใครเล่า? ท่านไม่ได้ต่อว่าเรา แต่บ่นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า”

9 แล้วโมเสสบอกอาโรนว่า “จงกล่าวแก่ชุมชนอิสราเอลทั้งหมดว่า ‘จงเข้ามาต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะทรงได้ยินเสียงบ่นว่าของพวกเจ้าแล้ว’ ”

10 ขณะอาโรนกำลังกล่าวแก่ชุมชนอิสราเอลทั้งปวง พวกเขามองไปทางถิ่นกันดารเห็นพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าปรากฏในเมฆ

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

12 “เราได้ยินคำบ่นของชนอิสราเอลแล้ว จงบอกพวกเขาว่า ‘ในเวลาพลบค่ำพวกเจ้าจะมีเนื้อกิน และในเวลาเช้าพวกเจ้าจะมีอาหารกินจนอิ่ม แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า’ ”

13 เย็นวันนั้นนกคุ่มบินมาตกเต็มค่าย และในเวลาเช้าตรู่บริเวณรอบค่ายมีน้ำค้างชุ่ม

14 เมื่อน้ำค้างระเหยไปก็เหลือเกล็ดเล็กๆ เหมือนเกล็ดน้ำค้างแข็งตกอยู่ตามพื้นดินของถิ่นกันดาร

15 ชาวอิสราเอลเห็นเข้าก็ถามกันว่า “อะไรกันนี่?” เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

โมเสสตอบว่า “นี่คืออาหารที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้แก่พวกเจ้า

16 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาว่า ‘ให้แต่ละคนเก็บอาหารเท่าที่ตนต้องการ คนละประมาณ 2 ลิตรตามจำนวนคนที่อยู่ในเต็นท์ของเจ้า’ ”

17 ชนอิสราเอลจึงทำตามที่พวกเขาบอก บางคนก็เก็บมาก บางคนก็เก็บน้อย

18 แต่เมื่อเขาตวงด้วยโอเมอร์ ผู้ที่เก็บมากก็ไม่มีเหลือและผู้ที่เก็บน้อยก็ไม่ขาด แต่ละคนเก็บได้พอดีตามที่ต้องการ

19 แล้วโมเสสบอกพวกเขาว่า “อย่าเก็บอาหารเหล่านี้ไว้จนรุ่งเช้า”

20 ถึงกระนั้นยังมีบางคนไม่เชื่อฟังโมเสส เก็บอาหารบางส่วนไว้จนรุ่งเช้า อาหารนั้นก็บูดเหม็นเป็นหนอน โมเสสจึงโกรธพวกเขา

21 ทุกเช้าทุกคนจึงเก็บอาหารตามความต้องการ และเมื่อแดดร้อนจัดอาหารนั้นก็ละลายหายไป

22 ในวันที่หกพวกเขาเก็บเป็นสองเท่าของปกติ คือคนละประมาณ 4.5 ลิตรและบรรดาหัวหน้าของชุมชนอิสราเอลจึงมารายงานต่อโมเสส

23 โมเสสตอบพวกเขาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาว่า ‘ให้พรุ่งนี้เป็นวันแห่งการหยุดพักคือวันสะบาโตอันบริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าฉะนั้นวันนี้จงปิ้งหรือต้มอาหารไว้ตามความต้องการ แล้วเก็บส่วนที่เหลือไว้จนรุ่งเช้า’ ”

24 ดังนั้นพวกเขาจึงเก็บอาหารไว้จนรุ่งเช้าตามที่โมเสสสั่งไว้ และอาหารนั้นก็ไม่เน่าเหม็นและไม่มีหนอน

25 โมเสสกล่าวว่า “นี่เป็นอาหารของท่านสำหรับวันนี้ เพราะวันนี้เป็นวันสะบาโตแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าท่านจะไม่พบอาหารตามพื้นดินในวันนี้

26 ตลอดหกวันท่านจงเก็บอาหาร แต่วันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโต จะไม่มีอาหารให้เก็บ”

27 ถึงกระนั้นก็ยังมีบางคนออกไปเก็บอาหารในวันที่เจ็ด แต่ก็ไม่พบเลย

28 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “พวกเจ้าจะดื้อดึงไม่ยอมเชื่อฟังคำบัญชาและคำสั่งของเราไปอีกนานเท่าไร?

29 จงจำใส่ใจว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานวันสะบาโตไว้สำหรับเจ้าทั้งหลาย ฉะนั้นในวันที่หกพระองค์จึงทรงให้อาหารแก่พวกเจ้าเป็นสองเท่า จะได้เพียงพอสำหรับสองวัน ในวันที่เจ็ดทุกคนจงอยู่ในเต็นท์ที่พัก ไม่ต้องออกไปเก็บอาหาร”

30 ดังนั้นเหล่าประชากรจึงหยุดพักในวันที่เจ็ด

31 ชาวอิสราเอลเรียกอาหารนั้นว่ามานาลักษณะเหมือนเมล็ดผักชี มีสีขาว รสชาติเหมือน ขนมปังแผ่นผสมน้ำผึ้ง

32 โมเสสกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าบัญชาว่า ‘ให้เก็บมานาไว้ประมาณ 2 ลิตร และเก็บรักษาไว้สำหรับคนรุ่นหลัง เพื่อเขาจะได้เห็นอาหารที่เราได้ให้พวกเจ้ากินในถิ่นกันดารเมื่อเรานำเจ้าออกมาจากอียิปต์’ ”

33 ดังนั้นโมเสสจึงพูดกับอาโรนว่า “จงเอาไหมาบรรจุมานาไว้ประมาณ 2 ลิตร และเก็บรักษาไว้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อชนรุ่นหลัง”

34 อาโรนทำตามคำบัญชาซึ่งโมเสสได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเขาวางมานาไว้หน้าศิลาจารึกพระบัญญัติสิบประการซึ่งอยู่ในหีบพันธสัญญา

35 ชนอิสราเอลกินมานาเป็นอาหารตลอดสี่สิบปี ตราบจนมาถึงเขตแดนคานาอันซึ่งพวกเขาเข้าไปตั้งรกราก

36 (1 โอเมอร์เท่ากับหนึ่งในสิบของ 1 เอฟาห์)

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/16-3b0950657c2fc317466e6562db52b994.mp3?version_id=179—

อพยพ 17

น้ำจากศิลา

1 ชุมชนอิสราเอลทั้งหมดออกจากถิ่นกันดารสีน เดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา พวกเขาตั้งค่ายพักที่เรฟีดิม แต่ที่นั่นไม่มีน้ำให้ประชากรดื่ม

2 ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พอใจโมเสสและกล่าวว่า “ขอน้ำให้เราดื่ม”

โมเสสตอบว่า “ทำไมพวกท่านไม่พอใจเรา? ทำไมจึงลองดีกับองค์พระผู้เป็นเจ้า?”

3 แต่เนื่องจากพวกเขากระหายน้ำ จึงบ่นว่าโมเสสว่า “ทำไมถึงพาพวกเรา ทั้งลูกเล็กเด็กแดงและฝูงสัตว์ของเราออกมาจากอียิปต์ ให้มาอดน้ำตายกันที่นี่?”

4 โมเสสจึงทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพระองค์ควรทำอย่างไรกับคนเหล่านี้? พวกเขาพร้อมที่จะเอาหินขว้างข้าพระองค์อยู่แล้ว”

5 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบโมเสสว่า “เจ้าจงเดินนำหน้าชนอิสราเอลไป พาผู้อาวุโสบางคนของอิสราเอลไปด้วย และถือไม้เท้าที่เจ้าใช้ตีลงบนแม่น้ำไนล์นั้นไปด้วย

6 เราจะยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าที่ศิลาแห่งโฮเรบ จงเอาไม้เท้าตีศิลาก้อนนั้น แล้วน้ำจะไหลออกมาให้ผู้คนดื่ม” ดังนั้นโมเสสก็ทำตามนี้ต่อหน้าบรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอล

7 โมเสสเรียกสถานที่นั้นว่ามัสสาห์และเมรีบาห์เพราะที่นั่นเองชนอิสราเอลไม่พอใจและลองดีกับองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตท่ามกลางพวกเราหรือไม่?”

ชาวอามาเลขพ่ายแพ้

8 ชาวอามาเลขมาโจมตีชาวอิสราเอลที่เรฟีดิม

9 โมเสสบอกโยชูวาว่า “ให้เลือกคนของเราบางส่วนออกไปสู้รบกับชาวอามาเลข แล้วพรุ่งนี้เราจะยืนบนเนินเขาถือไม้เท้าของพระเจ้า”

10 โยชูวาจึงออกไปสู้รบกับชาวอามาเลขตามที่โมเสสสั่ง ส่วนโมเสส อาโรน และเฮอร์ขึ้นไปบนเนินเขา

11 ตราบเท่าที่โมเสสชูมือขึ้น อิสราเอลก็เป็นฝ่ายชนะ แต่เมื่อใดเขาลดแขนลง ทหารของอามาเลขก็เป็นฝ่ายชนะ

12 เมื่อแขนของโมเสสล้ามาก อาโรนกับเฮอร์จึงกลิ้งก้อนหินมาให้โมเสสนั่ง แล้วเขาทั้งสองก็ชูแขนของโมเสสไว้คนละข้างตราบจนตะวันลับฟ้า

13 โยชูวาจึงรบชนะกองทัพอามาเลขด้วยคมดาบ

14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “จงบันทึกสิ่งนี้ลงในหนังสือม้วน ให้เป็นสิ่งที่ต้องจดจำตลอดไป และต้องให้โยชูวาได้ยินเรื่องนี้ เพราะเราจะลบล้างชาวอามาเลขออกจากความทรงจำทั้งสิ้นภายใต้ฟ้าสวรรค์”

15 โมเสสจึงก่อแท่นบูชาขึ้นที่นั่น ตั้งชื่อว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นธงชัยของข้าพเจ้า”

16 เขากล่าวว่า “เพราะว่าชาวอามาเลขชูมือขึ้นต่อต้านบัลลังก์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำศึกกับพวกเขาตลอดไปทุกชั่วอายุคน”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/17-a88af18dc0e3063e4f90e584dcaab398.mp3?version_id=179—

อพยพ 18

เยโธรมาเยี่ยมโมเสส

1 ฝ่ายเยโธรซึ่งเป็นปุโรหิตของชาวมีเดียนและเป็นพ่อตาของโมเสสได้ยินทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำเพื่อโมเสสและประชากรอิสราเอลของพระองค์ และได้ยินถึงวิธีที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงนำอิสราเอลออกมาจากอียิปต์

2 ก่อนหน้านี้โมเสสได้ส่งศิปโปราห์ภรรยาของตนกลับไปหาเยโธรพ่อตาของเขาและเยโธรรับนางไว้

3 พร้อมด้วยบุตรชายสองคนของเขา คนหนึ่งคือเกอร์โชมเพราะโมเสสกล่าวว่า “เราเป็นคนต่างด้าวในต่างแดน”

4 และอีกคนหนึ่งคือเอลีเยเซอร์เพราะโมเสสกล่าวว่า “พระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยของข้าพเจ้า และทรงกอบกู้ข้าพเจ้าจากคมดาบของฟาโรห์”

5 เยโธรพ่อตาของโมเสสพาบุตรและภรรยาของโมเสสมาถึง ขณะที่โมเสสและประชากรตั้งค่ายพักในถิ่นกันดารใกล้ภูเขาของพระเจ้า

6 เยโธรส่งข่าวมายังโมเสสว่า “เยโธรพ่อตาของเจ้ากำลังมาหาเจ้า พาภรรยาและบุตรทั้งสองของเจ้ามาด้วย”

7 ดังนั้นโมเสสจึงออกไปต้อนรับพ่อตา คำนับและจูบทักทายกัน แล้วเข้าไปในเต็นท์

8 โมเสสเล่าให้พ่อตาฟังเกี่ยวกับทุกสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำกับฟาโรห์และชาวอียิปต์เพื่อชนอิสราเอล ตลอดจนปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดการเดินทาง และวิธีที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกอบกู้พวกเขา

9 เยโธรยินดีมากเมื่อได้ยินเรื่องดีๆ ทั้งหมดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำเพื่ออิสราเอล ในการกอบกู้พวกเขาออกจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์

10 เยโธรกล่าวว่า “สาธุการแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงช่วยเจ้าจากเงื้อมมือของฟาโรห์และชาวอียิปต์ และทรงช่วยประชากรอิสราเอลจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์

11 เดี๋ยวนี้พ่อรู้แล้วว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหนือพระทั้งปวง เพราะพระองค์ทรงจัดการกับคนเหล่านั้นที่ได้ทำต่อชนชาติอิสราเอลอย่างโอหัง”

12 แล้วเยโธรพ่อตาของโมเสสจึงถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาอื่นๆ แด่พระเจ้า อาโรนกับบรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอลก็มารับประทานอาหารร่วมกับพ่อตาของโมเสสต่อหน้าพระเจ้า

13 วันต่อมาโมเสสนั่งประจำการตัดสินความให้เหล่าประชากร พวกเขายืนห้อมล้อมตั้งแต่เช้าจดเย็น

14 เมื่อพ่อตาของโมเสสเห็นทุกสิ่งที่โมเสสทำเพื่อประชาชนจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ากำลังทำอะไรกับประชากรเหล่านี้? ทำไมเจ้านั่งตัดสินความอยู่คนเดียว ขณะที่ประชากรทั้งหมดนี้ยืนห้อมล้อมเจ้าตั้งแต่เช้าจดเย็น?”

15 โมเสสตอบว่า “เพราะประชาชนมาหาข้าพเจ้าเพื่อแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้า

16 เมื่อเขามีข้อโต้แย้งไม่ลงรอยกัน จะนำเรื่องมาให้ข้าพเจ้าชี้ขาดว่าใครผิดใครถูก และแจ้งกฎหมายและบทบัญญัติของพระเจ้าแก่พวกเขา”

17 พ่อตาของโมเสสกล่าวว่า “ทำอย่างนี้ไม่ดี

18 เจ้าและผู้คนที่มาหาเจ้ามีแต่จะตรากตรำและอ่อนล้าไป งานนี้เป็นภาระหนักเกินกว่าเจ้าจะแบกไว้คนเดียว

19 ฟังคำแนะนำของเราสักนิดและขอพระเจ้าสถิตกับเจ้า เจ้าต้องเป็นตัวแทนของประชากรเข้าเฝ้าพระเจ้า นำข้อโต้แย้งของเขาขึ้นทูลพระองค์

20 เจ้าจงสอนกฎหมายและบทบัญญัติของพระเจ้าแก่พวกเขา และแสดงแนวทางการดำเนินชีวิตและหน้าที่ที่พวกเขาพึงปฏิบัติ

21 แต่จงเลือกคนที่มีความสามารถจากประชากรทั้งปวง คือคนที่ยำเกรงพระเจ้า ไว้ใจได้ และรังเกียจสิ่งที่ได้มาโดยทุจริต ตั้งให้เขาเป็นเจ้าพนักงานรับผิดชอบดูแลคนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง และสิบคนบ้าง

22 ตั้งเขาเหล่านั้นให้เป็นตุลาการรับผิดชอบให้ความยุติธรรมแก่ประชากรทั้งหมดตลอดเวลา ให้พวกเขาจัดการเรื่องง่ายๆ กันเอง แต่เรื่องยุ่งยากซับซ้อนให้พวกเขานำมาถึงเจ้า วิธีนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระของเจ้าเพราะพวกเขาจะร่วมรับผิดชอบกับเจ้า

23 หากเจ้าทำเช่นนี้ และพระเจ้าก็ทรงบัญชาให้ทำเช่นนี้ด้วย เจ้าก็จะสามารถทนความกดดันได้ และประชากรทั้งปวงก็จะกลับบ้านไปด้วยความพอใจ”

24 โมเสสฟังคำแนะนำของพ่อตาและปฏิบัติตามทุกอย่าง

25 เขาจึงเลือกคนที่มีความสามารถจากชนอิสราเอลทั้งหมดและตั้งให้เป็นผู้นำของประชาชน เป็นเจ้าพนักงานรับผิดชอบดูแลคนหนึ่งพันคน หนึ่งร้อยคน ห้าสิบคน และสิบคน ลดหลั่นกันไป

26 คนเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นตุลาการสำหรับประชาชนอยู่ตลอดเวลา เรื่องที่ยากก็นำมาให้โมเสสพิจารณา ส่วนเรื่องง่ายๆ พวกเขาก็ตัดสินเอง

27 จากนั้นโมเสสก็ส่งพ่อตาเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาของเขา

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/18-5c9289ccc4152635909fba58f44a8f30.mp3?version_id=179—