เลวีนิติ 26

รางวัลของการเชื่อฟัง

1 “ ‘เจ้าอย่าสร้างรูปเคารพ หรือทำแบบจำลอง หรือตั้งศิลาศักดิ์สิทธิ์สำหรับตัวเจ้าและอย่าวางหินสลักในดินแดนของเจ้าเพื่อกราบไหว้ เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า

2 “ ‘จงถือรักษาสะบาโตของเรา และยำเกรงสถานนมัสการของเรา เราคือพระยาห์เวห์

3 “ ‘หากเจ้าปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจเชื่อฟังคำสั่งของเรา

4 เราจะให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล แผ่นดินจะให้พืชผลอุดมและต้นไม้จะออกผล

5 ช่วงเวลานวดข้าวจะเนิ่นนานถึงฤดูเก็บผลองุ่น และฤดูเก็บผลองุ่นจะเนิ่นนานไปถึงฤดูหว่าน เจ้าจะได้รับประทานอย่างอิ่มหนำ และอาศัยอยู่อย่างปลอดภัยในแผ่นดินของเจ้า

6 “ ‘เราจะให้ความสงบสุขในแผ่นดินนั้น ยามนอนเจ้าจะไม่ต้องหวาดผวา เราจะขับไล่สัตว์ร้ายออกไปจากแผ่นดินนั้น และดาบจะไม่แผ้วพานแผ่นดินของเจ้าเลย

7 เจ้าจะรุกไล่ศัตรูของเจ้า คนเหล่านั้นจะล้มตายด้วยคมดาบต่อหน้าเจ้า

8 พวกเจ้าห้าคนจะรุกไล่ศัตรูนับร้อย พวกเจ้าร้อยคนจะรุกไล่ศัตรูนับหมื่น ศัตรูทั้งหลายจะล้มตายด้วยคมดาบต่อหน้าเจ้า

9 “ ‘เราจะดูแลเจ้าด้วยความโปรดปรานและให้เจ้ามีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง และเราจะรักษาพันธสัญญาของเราที่ให้ไว้กับเจ้า

10 เจ้าจะยังคงกินพืชผลจากการเก็บเกี่ยวในปีที่แล้ว เมื่อต้องขยับขยายจัดที่สำหรับพืชผลรุ่นใหม่

11 เราจะตั้งที่พำนักของเราท่ามกลางพวกเจ้า และเราจะไม่ชิงชังพวกเจ้า

12 เราจะดำเนินอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า เป็นพระเจ้าของเจ้า เจ้าจะเป็นประชากรของเรา

13 เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ผู้นำเจ้าทั้งหลายออกมาจากอียิปต์ เพื่อเจ้าจะไม่ต้องเป็นทาสของชาวอียิปต์อีกต่อไป เราได้ทำลายแอกของเจ้า และช่วยให้เจ้าก้าวเดินไปอย่างสง่าผ่าเผย

โทษของการไม่เชื่อฟัง

14 “ ‘แต่หากเจ้าไม่ฟังเรา ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเหล่านี้

15 และหากเจ้าปฏิเสธกฎหมายของเรา และชิงชังบทบัญญัติของเรา ไม่ได้ทำตามคำสั่งของเราซึ่งเป็นการละเมิดพันธสัญญาของเรา

16 แล้วเราจะทำกับเจ้าอย่างนี้คือ เราจะนำความหวาดหวั่นพรั่นพรึงมาอย่างฉับพลัน โรคต่างๆ และความเจ็บไข้ที่ทำลายสายตาของเจ้า และทำให้ชีวิตของเจ้าทรุดโทรมไปมาเหนือเจ้า เจ้าจะหว่านพืชโดยเปล่าประโยชน์ เพราะศัตรูของเจ้าจะมากิน

17 เราจะตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า เพื่อเจ้าจะพ่ายแพ้ต่อหน้าศัตรู บรรดาผู้เกลียดชังเจ้าจะปกครองเจ้า เจ้าจะวิ่งหนีแม้ขณะที่ไม่มีใครไล่ตาม

18 “ ‘และหากเจ้ายังไม่ยอมเชื่อฟัง เราจะลงโทษเจ้าหนักขึ้นเจ็ดเท่า ให้สมกับบาปของเจ้า

19 เราจะทำลายความเย่อหยิ่งอย่างดื้อด้านของเจ้า และทำให้ท้องฟ้าเหนือเจ้าเป็นเช่นเหล็กและแผ่นดินเบื้องล่างเจ้าเป็นดั่งทองสัมฤทธิ์

20 เจ้าจะเสียเหงื่อลงแรงโดยเปล่าประโยชน์เพราะแผ่นดินจะไม่ให้พืชผล ต้นไม้ในที่ดินก็จะไม่ออกผล

21 “ ‘หากเจ้ายังคงขัดขืนต่อต้านและไม่ยอมฟังเรา เราจะทวีความทุกข์ยากขึ้นอีกเจ็ดเท่า ให้สาสมกับบาปของเจ้า

22 เราจะส่งสัตว์ร้ายมาเล่นงานเจ้าและพวกมันจะปล้นเอาลูกหลานของเจ้าไป จะทำลายฝูงสัตว์ของเจ้าและจะทำให้จำนวนคนของเจ้าลดลงจนถนนหนทางเริศร้าง

23 “ ‘หากเราทำกับเจ้าถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่ยอมรับการดัดนิสัยจากเรา แต่ยังคงขัดขืนต่อต้านเรา

24 เราเองจะต่อสู้กับเจ้า และจะให้เจ้าทุกข์ทรมานเพราะบาปของตนหนักยิ่งขึ้นอีกเจ็ดเท่า

25 และเราจะนำดาบมายังเจ้าเพื่อแก้แค้นที่พันธสัญญาของเราถูกละเมิด เมื่อเจ้าถอยหนีเข้าไปยังเมืองต่างๆ ของเจ้า เราจะส่งโรคระบาดร้ายแรงมาท่ามกลางพวกเจ้า และเจ้าจะตกอยู่ในมือของศัตรู

26 เราจะทลายแหล่งเสบียงของเจ้า ถึงขนาดหญิงสิบคนใช้เตาเพียงเตาเดียวอบขนมให้พวกเจ้า และต้องชั่งอาหารแบ่งกันกิน เจ้าจะกินแต่ไม่อิ่ม

27 “ ‘หากถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่ฟังเรา แต่ยังคงขัดขืนต่อต้านเรา

28 เราจะต่อสู้กับเจ้าด้วยพระพิโรธ และเราเองจะลงโทษบาปของเจ้าหนักยิ่งขึ้นเจ็ดเท่า

29 เจ้าจะกินเนื้อลูกชายลูกสาวของตัวเอง

30 เราจะทลายแท่นบูชาบนที่สูงของเจ้า จะโค่นแท่นเผาเครื่องหอมของเจ้า ทิ้งซากศพของเจ้าไว้บนรูปเคารพที่ไม่มีชีวิตของพวกเจ้า และเราจะชิงชังพวกเจ้า

31 เราจะทำให้นครต่างๆ ของเจ้าเริศร้าง และทำลายสถานนมัสการของเจ้า เราจะไม่นิยมยินดีในกลิ่นหอมที่น่าพอใจจากเครื่องบูชาของเจ้า

32 เราจะทิ้งให้แผ่นดินเริศร้างจนศัตรูของเจ้าที่เข้ามาพักอาศัยตกใจ

33 เราจะทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจายไปท่ามกลางชนชาติต่างๆ เราจะชักดาบออกจากฝักรุกไล่เจ้า ดินแดนของเจ้าจะถูกทิ้งร้างและเมืองต่างๆ จะถูกทำลาย

34 แล้วแผ่นดินจะได้ชื่นชมกับปีสะบาโตของมันตลอดช่วงที่ถูกทิ้งร้างซึ่งเจ้าตกอยู่ในดินแดนของศัตรู แผ่นดินจะได้พักสงบและชื่นชมกับสะบาโตของมัน

35 ตลอดช่วงที่ถูกทิ้งร้าง แผ่นดินจะได้พักสงบ ชดเชยกับที่ไม่ได้หยุดพักในช่วงสะบาโตขณะที่เจ้าอาศัยอยู่ในแผ่นดิน

36 “ ‘สำหรับพวกที่เหลืออยู่ เราจะทำให้จิตใจของพวกเขาหวาดหวั่นขวัญผวาในแดนของศัตรูถึงขนาดเสียงใบไม้ถูกลมพัดปลิวก็ทำให้พวกเขาหนีไป เขาจะวิ่งราวกับหนีเตลิดจากคมดาบ และเขาจะล้มลงแม้ไม่มีใครไล่ตาม

37 เขาจะสะดุดล้มทับกันราวกับหนีเตลิดจากคมดาบแม้ไม่มีใครรุกไล่พวกเขา ดังนั้นเจ้าจะไม่สามารถยืนหยัดต่อหน้าศัตรูของเจ้า

38 เจ้าจะพินาศในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย และถูกกลืนหายไปในดินแดนของศัตรู

39 คนที่เหลืออยู่จะเสื่อมโทรมไปในดินแดนของศัตรูเพราะบาปของพวกเขา และเพราะบาปของบรรพบุรุษของพวกเขา

40 “ ‘แต่หากพวกเขาสารภาพบาปของตนและบาปของบรรพบุรุษที่พวกเขาขัดขืนต่อต้านเรา

41 ซึ่งทำให้เราเป็นศัตรูกับเขา จนเราส่งพวกเขาไปยังดินแดนของเหล่าศัตรู ตราบจนจิตใจที่ไม่ได้เข้าสุหนัตของเขาถ่อมลงและพวกเขาชดใช้บาปของตน

42 เมื่อนั้นเราจะระลึกถึงพันธสัญญาของเราที่ให้ไว้กับยาโคบ อิสอัค และอับราฮัม และจะระลึกถึงแผ่นดินนั้น

43 เพราะแผ่นดินนั้นจะชื่นชมกับสะบาโตของมันขณะที่ถูกทิ้งร้างอยู่ พวกเขาจะชดใช้บาปของตนที่ได้ละทิ้งบทบัญญัติของเราและเกลียดชังกฎหมายของเรา

44 แต่กระนั้นเมื่อเขาอยู่ในดินแดนของศัตรู เราจะไม่ปฏิเสธหรือเกลียดชังพวกเขาจนถึงกับทำลายล้างพวกเขาให้หมดสิ้น ซึ่งเป็นการละเมิดพันธสัญญาของเรากับพวกเขา เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา

45 แต่เพื่อเห็นแก่พวกเขา เราจะระลึกถึงพันธสัญญาที่ให้ไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาซึ่งเราได้พาออกมาจากอียิปต์ต่อหน้าประชาชาติทั้งหลาย เพื่อเป็นพระเจ้าของพวกเขา เราคือพระยาห์เวห์’ ”

46 ทั้งหมดนี้คือกฎหมาย บทบัญญัติ และกฎระเบียบ ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตั้งไว้ระหว่างพระองค์เองกับชนอิสราเอลผ่านทางโมเสสบนภูเขาซีนาย

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/LEV/26-f11b8996a6ef72bd277bbfa64c9b4225.mp3?version_id=179—

เลวีนิติ 27

การไถ่สิ่งที่เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

2 “จงแจ้งชนอิสราเอลว่า ‘หากคนใดได้ปฏิญาณไว้ว่าจะอุทิศถวายผู้หนึ่งผู้ใดแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าโดยการถวายสิ่งมีค่าจำนวนต่อไปนี้แทนคือ

3 ผู้ชายอายุยี่สิบปีถึงหกสิบปีให้ตั้งค่าตัวเป็นเงินหนัก 50 เชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ

4 ถ้าหากเป็นผู้หญิง ให้ตั้งราคาค่าตัวเป็นเงินหนัก 30 เชเขล

5 ผู้ที่อายุห้าถึงยี่สิบปี ถ้าเป็นผู้ชายให้ตั้งราคาค่าตัวเป็นเงินหนัก 20 เชเขล ถ้าเป็นผู้หญิงให้ตั้งราคาค่าตัวเป็นเงินหนัก 10 เชเขล

6 ผู้ที่อายุหนึ่งเดือนถึงห้าขวบ ถ้าเป็นผู้ชายให้ตั้งราคาค่าตัวเป็นเงินหนัก 5 เชเขล ถ้าเป็นผู้หญิงให้ตั้งราคาค่าตัวเป็นเงินหนัก 3 เชเขล

7 ผู้ที่อายุหกสิบปีขึ้นไป ถ้าเป็นผู้ชายให้ตั้งราคาค่าตัวเป็นเงินหนัก 15 เชเขล ถ้าเป็นผู้หญิงให้ตั้งราคาค่าตัวเป็นเงินหนัก 10 เชเขล

8 หากผู้ที่ถวายคำปฏิญาณยากจนเกินกว่าที่จะถวายเงินตามที่ระบุไว้ ให้พาบุคคลที่เขาประสงค์จะถวายตัวมาพบปุโรหิต ซึ่งจะกำหนดมูลค่าที่ผู้ปฏิญาณจะสามารถถวายได้

9 “ ‘ถ้าสิ่งที่เขาปฏิญาณว่าจะถวายนั้นเป็นสัตว์ที่ยอมรับเป็นเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าสัตว์ตัวนั้นที่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องถือว่าบริสุทธิ์

10 เขาจะเอาตัวอื่นมาเปลี่ยนไม่ได้ เอาดีมาแทนไม่ดี หรือเอาไม่ดีมาแทนดีก็ไม่ได้ หากเขาเปลี่ยนตัว ทั้งตัวแรกและตัวที่มาเปลี่ยนจะเป็นของบริสุทธิ์

11 หากสิ่งที่เขาปฏิญาณจะถวายเป็นสัตว์ที่เป็นมลทินตามระเบียบพิธี ซึ่งไม่ยอมรับเป็นเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะต้องนำสัตว์นั้นมามอบให้ปุโรหิต

12 ผู้ที่จะประเมินคุณภาพว่าดีหรือไม่ดี ปุโรหิตกำหนดราคาเท่าใด ก็ให้เป็นไปตามนั้น

13 หากเจ้าของต้องการจะไถ่สัตว์ตัวนั้น ก็ให้จ่ายเพิ่มอีกหนึ่งในห้าของราคาที่ตั้งไว้

14 “ ‘ผู้ใดถวายบ้านเป็นของบริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าปุโรหิตจะประเมินคุณภาพว่าดีหรือไม่ดี ปุโรหิตกำหนดราคาเท่าใด ก็ให้ถือตามนั้น

15 ถ้าผู้ถวายบ้านจะไถ่คืน เขาต้องจ่ายเพิ่มอีกหนึ่งในห้าของราคา แล้วบ้านจะกลับคืนเป็นของเขา

16 “ ‘ผู้ใดถวายที่ดินส่วนหนึ่งของตระกูลแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะตีราคาตามปริมาณเมล็ดพืชซึ่งจะใช้หว่านในที่นั่นคือ เงินหนัก 50 เชเขลต่อเมล็ดข้าวบาร์เลย์ประมาณ 220 ลิตร

17 หากผู้ใดถวายที่ดินในปีกึ่งศตวรรษให้ตีราคาเต็มตามอัตรา

18 หากถวายหลังปีกึ่งศตวรรษ ปุโรหิตจะพิจารณาราคาตามจำนวนปีที่เหลืออยู่ก่อนถึงปีกึ่งศตวรรษรอบต่อไปและราคาที่ตั้งไว้จะลดลง

19 หากคนนั้นตกลงจะไถ่ที่ดินคืน เขาจะจ่ายเงินเพิ่มอีกหนึ่งในห้าของราคาประเมิน และรับที่ดินคืนเป็นของเขาอีก

20 แต่หากเขาไม่ไถ่คืน หรือหากขายที่ดินนั้นแก่คนอื่น ที่ดินนั้นจะไถ่คืนอีกไม่ได้เลย

21 เมื่อที่ดินคืนสู่เจ้าของเดิมในปีกึ่งศตวรรษ ที่ดินผืนนี้จะถือเป็นของบริสุทธิ์เหมือนที่ดินซึ่งถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่ดินนี้จะกลายเป็นกรรมสิทธิ์ของบรรดาปุโรหิต

22 “ ‘หากผู้ใดถวายที่ดินซึ่งเขาซื้อมาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ไม่ใช่ที่ดินส่วนมรดกของครอบครัว

23 ปุโรหิตจะประเมินราคานับถึงปีกึ่งศตวรรษ และเขาจะถวายเงินจำนวนดังกล่าวแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าในวันนั้น เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

24 ในปีกึ่งศตวรรษ ที่ดินนั้นจะคืนให้เจ้าของเดิมซึ่งขายที่ดินให้

25 ราคาประเมินทั้งหมดระบุตามเชเขลของสถานนมัสการ ซึ่ง 20 เกราห์เท่ากับ 1 เชเขล

26 “ ‘เจ้าไม่ควรคิดว่าจะถวายลูกวัวหรือลูกแกะหัวปีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะลูกหัวปีเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่แล้ว

27 หากเป็นลูกหัวปีของสัตว์ที่เป็นมลทิน เจ้าของจะซื้อคืนตามราคาที่ปุโรหิตประเมิน และจ่ายเพิ่มอีกหนึ่งในห้า หากเจ้าของไม่ไถ่คืน ปุโรหิตก็จะขายให้แก่ผู้อื่นตามราคาที่ตั้งไว้

28 “ ‘อย่างไรก็ตามสิ่งที่ถวายเป็นสิทธิ์ขาดแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคล สัตว์ หรือที่ดินมรดกย่อมเป็นสิทธิ์ขาด ไม่มีการซื้อขายหรือไถ่คืน เพราะเป็นของบริสุทธิ์ที่สุดแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

29 “ ‘ผู้ใดถูกถวายเป็นสิทธิ์ขาดเพื่อให้ทำลายล้างจะไถ่คืนไม่ได้ เขาจะต้องถูกประหารชีวิต

30 “ ‘หนึ่งในสิบของผลผลิตจากแผ่นดิน ไม่ว่าเมล็ดข้าวจากผืนดินหรือผลไม้จากต้นเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าและถือเป็นสิ่งบริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

31 หากผู้ใดต้องการไถ่คืนสิบลดของเขา จะต้องจ่ายเพิ่มอีกหนึ่งในห้าของราคา

32 หนึ่งในสิบของฝูงสัตว์ทั้งหมดคือ ทุกตัวที่สิบที่ผ่านไปใต้ไม้เท้าของผู้เลี้ยง จะเป็นส่วนบริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

33 จะไม่มีการเลือกว่าตัวนั้นดีตัวนี้ไม่ดี หรือเอาตัวหนึ่งมาแทนอีกตัวหนึ่ง เพราะหากมีการเปลี่ยนตัว ทั้งตัวที่ถูกเปลี่ยนกับตัวที่เอามาเปลี่ยนย่อมเป็นของบริสุทธิ์แด่พระเจ้า ไถ่คืนไม่ได้’ ”

34 ทั้งหมดนี้คือพระบัญชาซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่โมเสสบนภูเขาซีนายสำหรับประชากรอิสราเอล

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/LEV/27-4f0ad7efae31331a05d6df653f255ea4.mp3?version_id=179—

อพยพ 1

ชนอิสราเอลถูกกดขี่ข่มเหง

1 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อบุตรชายของอิสราเอล ซึ่งติดตามยาโคบไปยังอียิปต์พร้อมด้วยครอบครัวของเขา

2 ได้แก่ รูเบน สิเมโอน เลวี ยูดาห์

3 อิสสาคาร์ เศบูลุน เบนยามิน

4 ดาน นัฟทาลี กาด และอาเชอร์

5 วงศ์วานของยาโคบที่เข้าไปในอียิปต์กับเขานับได้ทั้งหมดเจ็ดสิบคนส่วนโยเซฟอยู่ที่นั่นแล้ว

6 ต่อมาโยเซฟกับพวกพี่น้องและคนในชั่วอายุนั้นก็เสียชีวิตหมด

7 แต่ชนอิสราเอลมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองจนกลายเป็นชนชาติใหญ่อยู่คับคั่งในดินแดนนั้น

8 เมื่อกษัตริย์องค์ใหม่ซึ่งไม่ได้รู้จักโยเซฟขึ้นครองราชย์ในอียิปต์

9 พระองค์ตรัสกับประชากรของพระองค์ว่า “ดูสิ ชนอิสราเอลพวกนี้มีจำนวนมากเกินไปสำหรับเราแล้ว

10 เราต้องจัดการกับพวกเขาอย่างแยบยล มิฉะนั้นพวกเขาจะยิ่งมีจำนวนมากขึ้น และถ้าเกิดสงคราม พวกนี้จะสมคบกับศัตรูหันมารบกับเรา แล้วหนีออกนอกประเทศ”

11 ดังนั้นชาวอียิปต์จึงบีบบังคับพวกอิสราเอลให้เป็นทาส และตั้งนายงานคอยควบคุมพวกเขาให้ทำงานหนัก ให้สร้างเมืองปิธมและราเมเสสขึ้นเป็นเมืองพระคลังสำหรับฟาโรห์

12 แต่ยิ่งชนอิสราเอลถูกกดขี่ข่มเหงมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งเพิ่มจำนวนและแพร่ขยายมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นชาวอียิปต์จึงหวั่นเกรงชนอิสราเอล

13 และเคี่ยวเข็ญพวกเขาอย่างทารุณ

14 ชาวอียิปต์สร้างความขมขื่นในชีวิตให้แก่ชนอิสราเอล โดยให้พวกเขาทำงานหนัก ไม่ว่าจะเป็นการทำอิฐทำปูน และทำงานทุกชนิดในท้องทุ่ง ชาวอียิปต์ ใช้พวกเขาทำงานอย่างทารุณ

15 กษัตริย์อียิปต์ตรัสกับนางผดุงครรภ์ชาวฮีบรูชื่อชิฟราห์และปูอาห์ว่า

16 “เมื่อเจ้าทำคลอดให้หญิงชาวฮีบรูและดูแลหญิงนั้นขณะคลอด ถ้าทารกเป็นผู้ชายให้ฆ่าทิ้ง ถ้าเป็นผู้หญิงให้ไว้ชีวิต”

17 แต่นางผดุงครรภ์ทั้งสองยำเกรงพระเจ้า จึงไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของกษัตริย์อียิปต์ พวกนางปล่อยให้เด็กผู้ชายมีชีวิตอยู่

18 กษัตริย์อียิปต์จึงรับสั่งให้นำตัวนางผดุงครรภ์ทั้งสองมาเข้าเฝ้าและตรัสถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้? เหตุใดเจ้าจึงปล่อยเด็กผู้ชายให้มีชีวิตอยู่?”

19 นางผดุงครรภ์ทั้งสองกราบทูลว่า “ผู้หญิงฮีบรูไม่เหมือนผู้หญิงอียิปต์ พวกเขาแข็งแรงและคลอดลูกก่อนที่นางผดุงครรภ์จะไปถึง”

20 ดังนั้นพระเจ้าทรงอวยพรนางผดุงครรภ์ทั้งสองนี้ และชาวอิสราเอลเพิ่มจำนวนและทวีมากขึ้น

21 เนื่องจากนางผดุงครรภ์ยำเกรงพระเจ้า พระองค์จึงทรงให้นางทั้งสองมีครอบครัวของตนเอง

22 ฟาโรห์รับสั่งแก่ประชาชนทั้งปวงของพระองค์ว่า “ให้จับเด็กผู้ชายฮีบรูแรกเกิดทุกคนโยนทิ้งลงในแม่น้ำไนล์ ส่วนเด็กผู้หญิงให้ไว้ชีวิต”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/1-f7fdd1efac6b9c02d6f0ccf26819e6fc.mp3?version_id=179—

อพยพ 2

กำเนิดโมเสส

1 มีชายหญิงตระกูลเลวีคู่หนึ่งอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน

2 ฝ่ายภรรยาตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง เมื่อนางเห็นว่าบุตรของตนน่ารักจึงซ่อนตัวเขาไว้เป็นเวลาสามเดือน

3 แต่เมื่อนางไม่อาจซ่อนเด็กไว้ได้ต่อไป นางจึงนำต้นกกมาสานเป็นตะกร้า ยาด้วยชันและยางมะตอย แล้ววางเด็กลงในตะกร้า ปล่อยให้ลอยอยู่กลางกอปรือริมแม่น้ำไนล์

4 พี่สาวของทารกนั้นจับตาดูอยู่ห่างๆ คอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับน้องชาย

5 เมื่อพระธิดาของฟาโรห์เสด็จมาสรงน้ำที่แม่น้ำไนล์ และบรรดานางกำนัลกำลังเดินเลียบตลิ่ง พระนางทรงสังเกตเห็นตะกร้าในกอปรือจึงรับสั่งให้ทาสสาวไปนำมา

6 เมื่อทรงเปิดดูก็เห็นทารกเพศชายกำลังร้องไห้ พระนางจึงรู้สึกสงสารและตรัสว่า “นี่ต้องเป็นทารกชาวฮีบรูแน่ๆ”

7 พี่สาวของทารกนั้นจึงทูลถามพระธิดาว่า “ให้หม่อมฉันไปหาแม่นมชาวฮีบรูมาเลี้ยงเด็กให้ไหม?”

8 พระนางรับสั่งว่า “ตกลง ไปหามาเถิด” เด็กหญิงนั้นจึงกลับบ้านไปตามมารดาของทารกนั้นมา

9 พระธิดาของฟาโรห์ตรัสกับนางว่า “เอาเด็กคนนี้ไปเลี้ยงดูแทนฉันด้วย แล้วฉันจะให้ค่าจ้าง” ดังนั้นนางจึงอุ้มทารกกลับไปเลี้ยงดู

10 ต่อมาเมื่อเด็กคนนั้นเติบโตขึ้น นางก็นำกลับมาเข้าเฝ้าพระธิดาของฟาโรห์ พระนางทรงรับเลี้ยงเขาเป็นโอรส และประทานนามว่าโมเสสเพราะพระนางทรงตรัสว่า “เราได้ฉุดเขาขึ้นมาจากน้ำ”

โมเสสหนีไปมีเดียน

11 เมื่อโมเสสเติบโตเป็นหนุ่มแล้ว วันหนึ่งเขาไปหาคนชนชาติเดียวกันกับเขา เห็นพวกเขาต้องตรากตรำทำงานหนัก และได้เห็นชาวอียิปต์คนหนึ่งทุบตีชาวฮีบรูชนชาติเดียวกันกับตน

12 โมเสสเหลียวซ้ายแลขวาเห็นว่าไม่มีใครจึงฆ่าชาวอียิปต์คนนั้นแล้วหมกไว้ในทราย

13 วันต่อมาเมื่อเขาออกไปและเห็นชาวฮีบรูสองคนต่อสู้กันอยู่จึงถามคนที่เป็นฝ่ายผิดว่า “ทำไมถึงทุบตีพี่น้องชาวฮีบรูของท่านอย่างนี้?”

14 คนนั้นกล่าวว่า “ใครตั้งเจ้าเป็นเจ้านายปกครองและเป็นตุลาการตัดสินพวกเรา เจ้าคิดจะฆ่าฉันอย่างที่ฆ่าชาวอียิปต์คนนั้นหรือ?” โมเสสตกใจกลัวและคิดว่า “ผู้คนคงรู้สิ่งที่เราทำกันหมดแล้ว”

15 เมื่อฟาโรห์ทรงทราบเรื่องก็พยายามจะประหารโมเสส แต่โมเสสหนีฟาโรห์ไปอาศัยอยู่ในดินแดนมีเดียน ขณะที่เขานั่งอยู่ริมบ่อน้ำแห่งหนึ่ง

16 มีหญิงสาวเจ็ดคนซึ่งเป็นธิดาของปุโรหิตชาวมีเดียนออกมาตักน้ำใส่รางให้ฝูงสัตว์ของบิดากิน

17 แล้วมีพวกคนเลี้ยงแกะมาไล่หญิงสาวเหล่านี้ แต่โมเสสลุกขึ้นมาช่วยและให้น้ำแก่ฝูงสัตว์ของพวกนาง

18 เมื่อหญิงเหล่านั้นกลับไปหาเรอูเอลผู้เป็นบิดา เรอูเอลถามว่า “ทำไมวันนี้กลับบ้านเร็ว?”

19 พวกนางตอบว่า “มีชายชาวอียิปต์คนหนึ่งช่วยป้องกันพวกเราจากคนเลี้ยงแกะ ทั้งยังช่วยตักน้ำให้ฝูงสัตว์ด้วย”

20 บิดาจึงถามบุตรสาวทั้งหลายว่า “เขาอยู่ที่ไหน? ทำไมจึงทิ้งเขาไว้? ไปเชิญเขามารับประทานอาหารด้วยกันเถิด”

21 โมเสสตกลงใจอาศัยอยู่กับเรอูเอล เรอูเอลได้ยกศิปโปราห์บุตรสาวให้เป็นภรรยาของโมเสส

22 ศิปโปราห์คลอดบุตรชาย โมเสสตั้งชื่อให้ว่าเกอร์โชมตามที่โมเสสกล่าวว่า “เราเป็นคนต่างด้าวในต่างแดน”

23 หลายปีต่อมา กษัตริย์อียิปต์สิ้นพระชนม์ ชาวอิสราเอลคร่ำครวญเนื่องจากการเป็นทาสและร่ำร้องทูลขอความช่วยเหลือ เสียงร้องของพวกเขาขึ้นไปถึงพระเจ้า

24 พระองค์ทรงได้ยินเสียงคร่ำครวญของพวกเขาและทรงระลึกถึงพันธสัญญาที่ให้ไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ

25 ดังนั้นพระเจ้าทอดพระเนตรชนชาติอิสราเอลและทรงห่วงใยพวกเขา

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/2-881bcb9ef2728dbf3d6bd64b6f2c3e8c.mp3?version_id=179—

อพยพ 3

โมเสสกับพุ่มไม้ที่ลุกโชน

1 ขณะที่โมเสสกำลังเลี้ยงฝูงแกะของเยโธรผู้เป็นพ่อตาซึ่งเป็นปุโรหิตแห่งมีเดียน เขาต้อนฝูงแกะไปยังอีกด้านหนึ่งของถิ่นกันดารและมาถึงโฮเรบภูเขาของพระเจ้า

2 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าปรากฏแก่เขาเป็นเปลวไฟลุกโชนในพุ่มไม้ โมเสสเห็นว่าแม้ต้นไม้นั้นมีไฟลุกโชนก็ไม่ได้มอดไหม้

3 ดังนั้นโมเสสจึงคิดว่า “เราจะเข้าไปดูสิ่งประหลาดนี้ ว่าทำไมพุ่มไม้นั้นจึงไม่มอดไหม้”

4 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทอดพระเนตรเห็นโมเสสเดินเข้ามาดู พระเจ้าจึงทรงเรียกเขาจากพุ่มไม้นั้นว่า “โมเสส! โมเสส!”

โมเสสทูลว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่”

5 พระเจ้าตรัสว่า “อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้ จงถอดรองเท้าออกเพราะเจ้ากำลังยืนอยู่บนที่บริสุทธิ์”

6 จากนั้นพระองค์ตรัสว่า “เราเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ” เมื่อได้ฟังดังนั้นโมเสสจึงปิดหน้าตนเอง เพราะเขากลัวที่จะมองดูพระเจ้า

7 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราได้เห็นความทุกข์เข็ญของประชากรของเราในอียิปต์แล้ว เราได้ยินเสียงร่ำร้องเนื่องจากนายงานอำมหิตของพวกเขา และเราห่วงใยในความทุกข์ทรมานของพวกเขา

8 ดังนั้นเราจึงลงมาเพื่อช่วยพวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือชาวอียิปต์ และนำพวกเขาออกไปยังดินแดนกว้างใหญ่ อุดมไปด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง ซึ่งเป็นที่อาศัยของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส

9 ขณะนี้เสียงคร่ำครวญของชนอิสราเอลมาถึงเรา เราได้เห็นวิธีการที่ชาวอียิปต์กำลังกดขี่ข่มเหงพวกเขา

10 บัดนี้จงไปเถิด เราจะส่งเจ้าไปหาฟาโรห์เพื่อนำอิสราเอลประชากรของเราออกจากอียิปต์”

11 แต่โมเสสทูลพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์เป็นใครเล่าที่จะไปเฝ้าฟาโรห์ และนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์?”

12 และพระเจ้าตรัสว่า “เราจะอยู่กับเจ้า นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่เจ้าว่า เราคือผู้ที่ส่งเจ้าไป คือเมื่อเจ้านำเหล่าประชากรออกจากอียิปต์แล้ว พวกเจ้าจะมานมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้”

13 โมเสสทูลพระเจ้าว่า “หากข้าพระองค์ไปบอกชนอิสราเอลว่า ‘พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกท่านได้ส่งข้าพเจ้ามาหาพวกท่าน’ และพวกเขาจะย้อนถามว่า ‘พระเจ้าทรงพระนามว่าอะไร?’ ข้าพระองค์จะตอบเขาว่าอย่างไร?”

14 พระเจ้าตรัสตอบโมเสสว่า “เราเป็นผู้ที่เราเป็นเจ้าจงบอกชาวอิสราเอลว่า ‘เราผู้เป็น ได้ส่งข้าพเจ้ามาหาพวกท่าน’ ”

15 พระเจ้าตรัสกับโมเสสด้วยว่า “จงบอกชนอิสราเอลว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ได้ส่งข้าพเจ้ามาหาพวกท่าน’

“นี่เป็นนามของเราชั่วนิรันดร์

เป็นนามที่พวกเจ้าจะเรียกเรา

ตลอดทุกชั่วอายุ

16 “จงเรียกบรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอลมาประชุม และบอกพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบมาปรากฏแก่ข้าพเจ้าและตรัสดังนี้ว่า เราได้เฝ้าดูพวกเจ้าและได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเจ้าในอียิปต์แล้ว

17 และเราได้สัญญาว่าจะนำพวกเจ้าออกมาจากความทุกข์เข็ญในอียิปต์ไปยังดินแดนของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส ดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง’

18 “เหล่าผู้อาวุโสของอิสราเอลจะฟังเจ้า แล้วเจ้ากับผู้อาวุโสเหล่านั้นจะต้องไปพบกษัตริย์อียิปต์ และบอกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวฮีบรูปรากฏแก่พวกเรา พวกเราจึงขอเดินทางเป็นเวลาสามวันเข้าไปในถิ่นกันดารเพื่อถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา’

19 แต่เรารู้ว่ากษัตริย์อียิปต์จะไม่ยอมปล่อยพวกเจ้าไปจนกว่ามืออันทรงฤทธิ์จะบีบบังคับเขา

20 ฉะนั้นเราจะเหยียดมือออกเล่นงานชาวอียิปต์ด้วยการอัศจรรย์ต่างๆ ที่เราจะทำท่ามกลางพวกเขา หลังจากนั้นเขาจะยอมปล่อยเจ้าทั้งหลายไป

21 “และเราจะทำให้ชาวอียิปต์ชื่นชอบและให้ของกำนัลแก่พวกเจ้าเพื่อเจ้าจะไม่ออกมามือเปล่า

22 ผู้หญิงทุกคนจะขอเครื่องเงินเครื่องทองและเสื้อผ้าจากเพื่อนบ้านและจากผู้หญิงที่อยู่ในบ้านของนาง เอามาแต่งให้บุตรชายบุตรสาวของพวกเจ้า พวกเจ้าจะริบข้าวของของชาวอียิปต์มาด้วยวิธีนี้”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/3-6e6d690f0493ad31827f3eeef56633e1.mp3?version_id=179—

อพยพ 4

หมายสำคัญแก่โมเสส

1 โมเสสทูลตอบว่า “จะทำอย่างไรถ้าพวกเขาไม่เชื่อและไม่ฟังข้าพระองค์ แล้วพูดว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ปรากฏแก่เจ้า’?”

2 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “อะไรอยู่ในมือของเจ้า?”

โมเสสทูลว่า “ไม้เท้าพระเจ้าข้า”

3 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงโยนไม้เท้าลงบนพื้น”

โมเสสจึงโยนลงไป ไม้เท้าก็กลายเป็นงู โมเสสจึงวิ่งหลบงูนั้น

4 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงยื่นมือออกไปจับหางงูนั้นไว้” ดังนั้นโมเสสจึงยื่นมือออกจับงูไว้ และงูนั้นก็กลายเป็นไม้เท้าในมือของเขา

5 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงทำอย่างนี้ แล้วพวกเขาจะเชื่อว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของเขา คือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบได้ปรากฏแก่เจ้า”

6 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงเอามือสอดเข้าไปในเสื้อคลุม” เมื่อโมเสสทำเช่นนั้นแล้วชักมือออกมา ผิวหนังก็กลายเป็นโรคเรื้อนขาวเหมือนหิมะ

7 พระองค์ตรัสว่า “จงเอามือสอดกลับเข้าไปในเสื้อคลุม” เมื่อโมเสสทำตามและชักมือออกมา มือของเขาก็กลับเป็นปกติ

8 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “หากเขาไม่เชื่อหรือไม่สนใจหมายสำคัญอย่างแรก เขาอาจจะเชื่ออย่างที่สอง

9 แต่หากพวกเขาไม่เชื่อหมายสำคัญทั้งสองนี้หรือไม่ยอมฟังเจ้า จงตักน้ำจากแม่น้ำไนล์มาเทลงบนพื้นแห้ง น้ำที่เจ้าเอามาจากแม่น้ำจะกลายเป็นเลือดบนพื้นดิน”

10 โมเสสทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์พูดไม่เก่ง ไม่ว่าจะในอดีตหรือเมื่อพระองค์ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่องและไร้คารม”

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “ใครเล่าสร้างปากมนุษย์? ใครเล่าทำให้เขาหูหนวกหรือเป็นใบ้? ใครเล่าทำให้เขามองเห็นหรือตาบอด? ไม่ใช่เราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ?

12 บัดนี้จงไปเถิด เราจะช่วยและจะสอนเจ้าว่าเจ้าควรจะพูดอะไร”

13 แต่โมเสสทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดส่งคนอื่นไปเถิด”

14 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงกริ้วโมเสสและตรัสว่า “อาโรนคนเลวีพี่ชายของเจ้าล่ะ? เรารู้ว่าเขาพูดเก่ง เขากำลังมาที่นี่เพื่อพบเจ้า และจะดีใจมากเมื่อเห็นเจ้า

15 เจ้าจะต้องพูดกับเขา และบอกเขาว่าควรพูดอะไร เราจะช่วยให้เจ้าทั้งสองพูดได้ดีและจะสอนเจ้าว่าควรทำอะไรบ้าง

16 เขาจะพูดกับประชาชนแทนเจ้า เขาจะเป็นเหมือนปากของเจ้า ส่วนเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้าสำหรับเขา

17 แต่เจ้าจงเอาไม้เท้าในมือของเจ้าอันนี้ไปด้วยเพื่อจะได้ใช้แสดงหมายสำคัญ”

โมเสสกลับสู่อียิปต์

18 โมเสสจึงกลับไปหาเยโธรพ่อตาของเขาและกล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอกลับไปหาชนชาติของข้าพเจ้าในอียิปต์ ไปดูว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

เยโธรตอบว่า “ไปเถิด พ่อขออวยพรให้เจ้าไปดี”

19 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสที่มีเดียนว่า “จงกลับไปอียิปต์เพราะพวกที่ต้องการฆ่าเจ้านั้นตายไปแล้ว”

20 ดังนั้นโมเสสจึงพาภรรยาและลูกๆ ขึ้นลาและออกเดินทางกลับไปอียิปต์ เขาถือไม้เท้าของพระเจ้าไปด้วย

21 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เมื่อเจ้ากลับไปถึงอียิปต์ เจ้าจะต้องทำการอัศจรรย์ทุกอย่างต่อหน้าฟาโรห์ตามที่เราให้ฤทธิ์อำนาจแก่เจ้าแล้ว แต่เราจะทำให้ฟาโรห์ใจแข็งไม่ยอมปล่อยเหล่าประชากรไป

22 แล้วเจ้าจงบอกฟาโรห์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า อิสราเอลเป็นลูกชายหัวปีของเรา

23 และเราบอกเจ้าว่า “จงปล่อยลูกชายของเราไป เพื่อเขาจะได้นมัสการเรา” แต่เจ้าปฏิเสธไม่ยอมให้เขาไป ดังนั้นเราจะประหารลูกชายหัวปีของเจ้า’ ”

24 ตรงที่พักระหว่างทางองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาพบโมเสสและจะทรงประหารชีวิตเขา

25 แต่นางศิปโปราห์เอามีดหินคมเฉือนหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศบุตรชายของตน เอาไปแตะเท้าของโมเสสและกล่าวว่า “ท่านเป็นเจ้าบ่าวแห่งโลหิตต่อดิฉัน”

26 ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงละโมเสสไป (ครั้งนั้นนางกล่าวถึง “เจ้าบ่าวแห่งโลหิต” หมายถึงการเข้าสุหนัต)

27 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอาโรนว่า “จงไปพบโมเสสในถิ่นกันดาร” ดังนั้นอาโรนจึงไปพบโมเสสที่ภูเขาของพระเจ้าและจูบเขา

28 โมเสสเล่าให้อาโรนฟังถึงทุกสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งให้พูด และหมายสำคัญทุกอย่างที่พระองค์ทรงบัญชาให้เขาทำ

29 โมเสสกับอาโรนจึงเรียกประชุมผู้อาวุโสทั้งหมดของชนอิสราเอล

30 และอาโรนแจ้งให้พวกเขาทราบทุกสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสส โมเสสได้ทำหมายสำคัญต่อหน้าประชากรด้วย

31 พวกเขาจึงเชื่อ และเมื่อพวกเขาได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงห่วงใย และเห็นความทุกข์ลำเค็ญของพวกตน พวกเขาจึงกราบลงนมัสการ

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/4-06e5f3bf2d10926d565d3cf1f0afdb8f.mp3?version_id=179—

อพยพ 5

ทำอิฐโดยไม่มีฟาง

1 หลังจากนั้นโมเสสกับอาโรนเข้าเฝ้าฟาโรห์และทูลว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า ‘จงปล่อยประชากรของเราไป เพื่อพวกเขาจะจัดงานฉลองให้เราในถิ่นกันดาร’ ”

2 ฟาโรห์ตรัสว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นใครที่เราจะต้องเชื่อฟังและปล่อยอิสราเอลไป? เราไม่รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าและเราจะไม่ปล่อยอิสราเอลไป”

3 เขาทั้งสองจึงทูลว่า “พระเจ้าของชนฮีบรูปรากฏแก่ข้าพระบาท พวกข้าพระบาทขออนุญาตเดินทางเป็นเวลาสามวันเข้าไปในถิ่นกันดารเพื่อถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระบาท มิฉะนั้นพระองค์จะทรงลงโทษพวกข้าพระบาทด้วยภัยพิบัติหรือสงคราม”

4 แต่กษัตริย์อียิปต์ตรัสว่า “เจ้าโมเสสกับอาโรน เหตุใดพวกเจ้าจึงเที่ยวชักชวนผู้คนให้ละทิ้งงาน? กลับไปทำงานเดี๋ยวนี้!”

5 แล้วฟาโรห์ตรัสว่า “ดูสิ เจ้าทำให้ผู้คนมากมายที่อยู่ในดินแดนนี้ต้องทิ้งงานของพวกเขา”

6 ในวันนั้นเอง ฟาโรห์ตรัสสั่งนายทาสและผู้คุมคนงานว่า

7 “อย่าให้ฟางสำหรับทำอิฐแก่พวกทาส ให้พวกเขาไปหาฟางเอาเอง

8 แต่กำหนดให้พวกเขาทำอิฐให้ได้จำนวนเท่าเดิม ไม่ต้องลดจำนวนการผลิต เพราะทาสพวกนี้ขี้เกียจ พวกเขาจึงร่ำร้องว่า ‘ขอปล่อยเราไปถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของพวกเรา’

9 จงให้พวกทาสทำงานหนักขึ้น จะได้ไม่มีเวลาไปฟังคำโกหกพกลม”

10 ดังนั้นนายงานกับผู้คุมคนงานจึงบอกพวกทาสว่า “ฟาโรห์รับสั่งว่า ‘เราจะงดแจกจ่ายฟางให้พวกเจ้า

11 พวกเจ้าจงไปเก็บและหาฟางเอาเอง แต่ต้องทำอิฐให้ได้จำนวนเท่าเดิม’ ”

12 ดังนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายกันไปทั่วอียิปต์เพื่อหาฟาง

13 เหล่านายทาสคอยเร่งอยู่เรื่อยว่า “แต่ละวันพวกเจ้าต้องทำอิฐให้ได้ครบตามจำนวนเหมือนตอนที่เจ้าได้รับฟาง”

14 แล้วผู้คุมคนงานชาวอิสราเอลที่นายทาสของฟาโรห์แต่งตั้งขึ้นก็ถูกโบยตีและถูกถามว่า “ทำไมวันนี้และเมื่อวานนี้พวกเจ้าจึงทำอิฐไม่ครบตามจำนวนเดิม?”

15 ผู้คุมคนงานชาวอิสราเอลจึงเข้าเฝ้าฟาโรห์และร้องอุทธรณ์ว่า “เหตุใดฝ่าพระบาทจึงทรงกระทำต่อผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทอย่างนี้?

16 พวกข้าพระบาทไม่ได้รับแจกจ่ายฟาง แต่มีคำสั่งว่า ‘จงทำอิฐ!’ พวกข้าพระบาทยังต้องถูกเฆี่ยนตีทั้งๆ ที่พวกข้าราชการของฝ่าพระบาทต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด”

17 ฟาโรห์ตรัสว่า “พวกเจ้าขี้เกียจจริงๆ! ถึงได้พร่ำขอว่า ‘ปล่อยพวกเราออกไปถวายเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า’

18 พวกเจ้ากลับไปทำงานได้แล้ว เราจะไม่จ่ายฟางให้ แต่พวกเจ้าต้องทำอิฐให้ได้ตามจำนวนที่กำหนดไว้”

19 ผู้คุมคนงานชาวอิสราเอลตระหนักว่าพวกตนกำลังตกที่นั่งลำบาก เมื่อพวกเขาถูกสั่งว่า “พวกเจ้าต้องทำอิฐให้ได้ตามจำนวนที่กำหนดในแต่ละวัน”

20 เมื่อพวกเขากลับจากเข้าเฝ้าฟาโรห์ก็พบโมเสสกับอาโรนรอพบพวกเขาอยู่

21 จึงกล่าวว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิจารณาและตัดสินโทษพวกท่าน! พวกท่านทำให้ฟาโรห์กับเหล่าข้าราชการเกลียดชังพวกเรา และทำให้พวกนั้นมีข้ออ้างที่จะฆ่าพวกเรา”

พระเจ้าทรงสัญญาถึงการปลดปล่อย

22 โมเสสจึงกลับไปทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เหตุใดพระองค์ทรงนำความทุกข์ร้อนมาถึงคนเหล่านี้? พระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มาเพื่อการนี้หรือ?

23 ตั้งแต่ข้าพระองค์ไปทูลฟาโรห์ในพระนามของพระองค์ ฟาโรห์ทำให้เหล่าประชากรเดือดร้อน และพระองค์ไม่ได้ทรงกอบกู้ประชากรของพระองค์เลย”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/5-c53a23882e807ca551becc725931c10a.mp3?version_id=179—

อพยพ 6

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “บัดนี้เจ้าจะได้เห็นสิ่งที่เราจะทำแก่ฟาโรห์ เขาจะปล่อยประชากรของเราไปเพราะมืออันทรงฤทธิ์ของเรา และเขาจะขับไล่คนของเราออกจากประเทศของเขาเพราะมืออันทรงฤทธิ์ของเรา”

2 พระเจ้าตรัสกับโมเสสด้วยว่า “เราคือพระยาห์เวห์

3 เราปรากฏแก่อับราฮัม อิสอัค และยาโคบในฐานะพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ แต่เราไม่ได้สำแดงตัวเราเองให้เขารู้จักเราในนามพระยาห์เวห์

4 เรายังได้ทำพันธสัญญาอันมั่นคงกับพวกเขาว่า เราจะยกดินแดนคานาอันซึ่งพวกเขาเคยอาศัยอยู่ในฐานะคนต่างด้าวนั้นให้แก่พวกเขา

5 ยิ่งกว่านั้นเราได้ยินเสียงคร่ำครวญจากชนอิสราเอลซึ่งตกเป็นทาสของชาวอียิปต์ และเราระลึกถึงพันธสัญญาของเรา

6 “ฉะนั้นจงไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า ‘เราคือพระยาห์เวห์ เราจะปลดปล่อยพวกเจ้าให้พ้นจากแอกของชาวอียิปต์ ให้พ้นจากการเป็นทาสของพวกเขา เราจะไถ่พวกเจ้าด้วยแขนที่เหยียดออกและด้วยการพิพากษาลงโทษอย่างหนัก

7 เราจะรับพวกเจ้าเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าผู้นำพวกเจ้าให้พ้นจากแอกของชาวอียิปต์

8 เราจะนำพวกเจ้าไปยังดินแดนซึ่งเราได้ยกมือสาบานไว้ว่าจะยกให้แก่อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ เราจะยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า เราคือพระยาห์เวห์’ ”

9 โมเสสจึงนำความนี้ไปแจ้งแก่ชนอิสราเอล แต่พวกเขาไม่ฟัง เพราะหมดอาลัยตายอยากและทนการใช้แรงงานทาสอย่างทารุณแทบไม่ไหว

10 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

11 “จงไปบอกฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ให้ปล่อยชนอิสราเอลออกจากประเทศของเขา”

12 แต่โมเสสทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ถ้าแม้แต่ชนอิสราเอลยังไม่ฟังข้าพระองค์ แล้วฟาโรห์จะฟังหรือ ในเมื่อข้าพระองค์พูดไม่เก่ง?”

พงศ์พันธุ์ของโมเสสและอาโรน

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนเกี่ยวกับชนอิสราเอลและฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ และพระองค์ทรงบัญชาให้เขาทั้งสองนำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์

14 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อหัวหน้าครอบครัวต่างๆ ของพวกเขา

รูเบนบุตรชายหัวปีของอิสราเอลมีบุตรชายชื่อ ฮาโนค ปัลลู เฮสโรน และคารมี คนเหล่านี้อยู่ในตระกูลรูเบน

15 สิเมโอนมีบุตรชายชื่อ เยมูเอล ยามีน โอหาด ยาคีน โศหาร์ และชาอูล ซึ่งมารดาเป็นหญิงชาวคานาอัน คนเหล่านี้อยู่ในตระกูลสิเมโอน

16 ต่อไปนี้คือรายชื่อบุตรชายของเลวีตามลำดับวงศ์ของเขาได้แก่ เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี เลวีมีอายุได้ 137 ปี

17 บุตรของเกอร์โชนตามตระกูลได้แก่ ลิบนีและชิเมอี

18 บุตรของโคฮาทได้แก่ อัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล โคฮาทมีอายุได้ 133 ปี

19 บุตรของเมรารีได้แก่ มาห์ลีและมูชี

ที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นตระกูลของเลวีตามบันทึกวงศ์ของเขา

20 อัมรามแต่งงานกับโยเคเบดน้องสาวของบิดา มีบุตรชายชื่ออาโรนกับโมเสส อัมรามมีอายุได้ 137 ปี

21 บุตรของอิสฮาร์ได้แก่ โคราห์ เนเฟก และศิครี

22 บุตรของอุสซีเอลได้แก่ มิชาเอล เอลซาฟาน และสิธรี

23 อาโรนแต่งงานกับเอลีเชบาบุตรสาวของอัมมีนาดับและเป็นน้องสาวของนาห์โชน มีบุตรด้วยกันคือ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์

24 บุตรของโคราห์ได้แก่ อัสสีร์ เอลคานาห์ และอาบียาสาฟ คนเหล่านี้อยู่ในตระกูลโคราห์

25 เอเลอาซาร์บุตรอาโรนแต่งงานกับบุตรสาวคนหนึ่งของปูทิเอล มีบุตรด้วยกันคนหนึ่งชื่อ ฟีเนหัส

ที่กล่าวมาแล้วล้วนเป็นหัวหน้าครอบครัวเลวีตามตระกูลของเขา

26 อาโรนและโมเสสนี้เองที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงนำประชากรอิสราเอลออกจากดินแดนอียิปต์ตามหมู่เหล่าของเขา”

27 และทั้งสองคนนี้เป็นผู้ที่ไปเข้าเฝ้าฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์เพื่อขออนุญาตนำชนอิสราเอลออกจากอียิปต์

อาโรนกล่าวแทนโมเสส

28 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสในอียิปต์

29 พระองค์ตรัสว่า “เราคือพระยาห์เวห์ จงไปบอกฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ทุกสิ่งตามที่เราได้บอกเจ้าแล้ว”

30 แต่โมเสสกราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ในเมื่อข้าพระองค์พูดไม่เก่ง เหตุใดฟาโรห์จึงต้องฟังข้าพระองค์?”

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/6-6388885c0e9356612548860da13ffcb4.mp3?version_id=179—

อพยพ 7

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “นี่แน่ะ เราจะทำให้เจ้าเป็นเหมือนพระเจ้าต่อฟาโรห์ และอาโรนพี่ชายของเจ้าจะเป็นผู้เผยพระวจนะของเจ้า

2 จงบอกอาโรนทุกอย่างที่เราสั่งเจ้า และอาโรนพี่ชายของเจ้าจะบอกฟาโรห์ให้ปล่อยชนอิสราเอลออกจากอียิปต์

3 แต่เราจะทำให้ฟาโรห์ใจแข็งกระด้าง และแม้ว่าเราจะทำหมายสำคัญมากขึ้นในอียิปต์

4 ฟาโรห์ก็จะไม่ฟังเจ้า แล้วเราจะลงมือจัดการกับอียิปต์ และด้วยการพิพากษาลงโทษอย่างหนัก เราจะนำชนอิสราเอลประชากรของเราออกไปเป็นหมู่เหล่า

5 และชาวอียิปต์จะได้รู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์ เมื่อเราเหยียดมือออกจัดการกับอียิปต์และนำชนชาติอิสราเอลออกไป”

6 โมเสสและอาโรนจึงปฏิบัติตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาทุกประการ

7 เมื่อเขาทั้งสองเข้าไปพูดกับฟาโรห์นั้น โมเสสมีอายุ 80 ปี ส่วนอาโรนมีอายุ 83 ปี

ไม้เท้าของอาโรนกลายเป็นงู

8 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า

9 “เมื่อฟาโรห์กล่าวกับเจ้าว่า ‘จงแสดงการอัศจรรย์สักอย่างให้เราเห็น’ แล้วเจ้าจงบอกอาโรนว่า ‘หยิบไม้เท้าของท่านและโยนลงที่พื้นต่อหน้าฟาโรห์’ แล้วไม้เท้าจะกลายเป็นงู”

10 ดังนั้นโมเสสกับอาโรนจึงไปเข้าเฝ้าฟาโรห์และทำตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา อาโรนโยนไม้เท้าลงต่อหน้าฟาโรห์และข้าราชการ ไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู

11 ฟาโรห์จึงรับสั่งเรียกนักปราชญ์ พ่อมด และนักเล่นอาคมชาวอียิปต์มา พวกเขาก็สามารถทำสิ่งอัศจรรย์อย่างเดียวกันด้วยศาสตร์อันลี้ลับ

12 พวกเขาแต่ละคนโยนไม้เท้าของตนลงและไม้เท้าของพวกเขาก็กลายเป็นงู แต่ไม้เท้าของอาโรนกลืนกินไม้เท้าของพวกเขา

13 แต่ฟาโรห์ยังคงมีพระทัยแข็งกระด้างและไม่ยอมฟังเขาทั้งสองดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว

ภัยพิบัติจากน้ำที่กลายเป็นเลือด

14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ฟาโรห์ยังใจแข็ง ดันทุรังไม่ยอมปล่อยประชากรไป

15 เจ้าจงไปหาฟาโรห์ในตอนเช้าขณะที่เขาไปยังแม่น้ำไนล์ จงคอยเขาอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำเพื่อพบกับเขาและถือไม้เท้าที่กลายเป็นงูได้นั้นไปด้วย

16 แล้วบอกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของชนฮีบรูได้ส่งข้าพระบาทมาทูลพระองค์ดังนี้ว่า จงปล่อยประชากรของเราออกไปนมัสการเราในถิ่นกันดาร แต่จนบัดนี้เจ้าก็ยังไม่ฟัง

17 องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสดังนี้ว่า เจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์ด้วยเหตุการณ์ต่อไปนี้คือ โมเสสจะเอาไม้เท้าตีลงในแม่น้ำ แล้วน้ำนั้นจะกลายเป็นเลือด

18 ปลาจะตายและแม่น้ำจะเน่าเหม็นจนชาวอียิปต์ดื่มน้ำนั้นไม่ได้’ ”

19 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงบอกอาโรนว่า ‘หยิบไม้เท้าของท่านและยื่นออกเหนือห้วงน้ำในอียิปต์ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง’ แล้วน้ำทั่วทุกแห่งในอียิปต์จะกลายเป็นเลือด แม้แต่น้ำในภาชนะไม้และหินก็จะกลายเป็นเลือดทั้งหมด”

20 โมเสสกับอาโรนจึงทำตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอาโรนยกไม้เท้าขึ้นต่อหน้าฟาโรห์และข้าราชการ แล้วตีน้ำในแม่น้ำไนล์ น้ำทั้งหมดจึงกลายเป็นเลือด

21 ปลาในแม่น้ำไนล์ก็ตายและน้ำก็เน่าเหม็นจนชาวอียิปต์ดื่มไม่ได้ มีเลือดอยู่ทั่วทุกแห่งในอียิปต์

22 แต่พวกนักเล่นอาคมของอียิปต์ก็ทำได้เหมือนกันโดยใช้ศาสตร์อันลี้ลับของตน ฟาโรห์จึงยังคงมีพระทัยแข็งกระด้างและไม่ยอมฟังโมเสสกับอาโรนตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้

23 ฟาโรห์เสด็จกลับวังโดยไม่สนพระทัย

24 ชาวอียิปต์พากันขุดบ่อตามตลิ่งแม่น้ำไนล์เพื่อหาน้ำดื่ม เพราะไม่สามารถดื่มน้ำจากแม่น้ำได้

ภัยพิบัติจากกบ

25 เจ็ดวันผ่านไปหลังจากที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้แม่น้ำไนล์กลายเป็นเลือด

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/7-8340383716d4f5d443fd67a629911618.mp3?version_id=179—

อพยพ 8

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงไปหาฟาโรห์และบอกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงปล่อยประชากรของเราไปเพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา

2 ถ้าเจ้าไม่ยอม เราจะส่งฝูงกบขึ้นมารังควานทั่วดินแดนของเจ้า

3 จะมีกบเต็มแม่น้ำไนล์ มันจะกรูกันเข้าไปในวัง ในห้องนอนจนถึงบนเตียงของเจ้า และมันจะเข้าไปในบ้านของเหล่าข้าราชการของเจ้า และบนตัวประชากรของเจ้า มันจะเข้าไปในเตาปิ้งขนมและอ่างผสมแป้งของเจ้า

4 ฝูงกบนั้นจะขึ้นมาที่ตัวเจ้าและข้าราชการกับราษฎรของเจ้า’ ”

5 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงบอกอาโรนว่า ‘ท่านจงชูไม้เท้าขึ้นเหนือแม่น้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง แล้วจะมีกบขึ้นทั่วแดนอียิปต์’ ”

6 ดังนั้นอาโรนจึงยื่นมือออกเหนือห้วงน้ำของอียิปต์ แล้วกบก็ขึ้นมาจนเต็มแผ่นดิน

7 แต่พวกนักเล่นอาคมก็ใช้ศาสตร์อันลี้ลับของตนทำให้กบขึ้นมาบนแผ่นดินอียิปต์ได้ด้วยเหมือนกัน

8 ฟาโรห์รับสั่งให้โมเสสและอาโรนมาเข้าเฝ้าแล้วตรัสว่า “ช่วยวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าให้เอากบออกไปจากเราและประชากรของเรา แล้วเราจะปล่อยประชากรของเจ้าออกไปถวายเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า”

9 โมเสสทูลฟาโรห์ว่า “โปรดบอกข้าพระบาทว่าฝ่าพระบาทประสงค์จะให้ข้าพระบาทอธิษฐานกำจัดกบออกจากพระราชวังของฝ่าพระบาท บ้านเรือนของข้าราชการและประชากรของฝ่าพระบาทเมื่อใด ยกเว้นกบที่ยังคงมีอยู่ในแม่น้ำไนล์”

10 ฟาโรห์ตรัสว่า “วันพรุ่งนี้”

โมเสสทูลตอบว่า “จะเป็นไปตามที่ฝ่าพระบาทตรัส เพื่อฝ่าพระบาทจะได้ทราบว่าไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระบาททั้งหลาย

11 ฝูงกบจะไปจากฝ่าพระบาท บ้านเรือนของพวกฝ่าพระบาท ข้าราชการและประชากรของฝ่าพระบาท แต่มันจะอยู่ในแม่น้ำไนล์เท่านั้น”

12 หลังจากโมเสสกับอาโรนกลับออกมาจากการเข้าเฝ้าฟาโรห์แล้ว โมเสสร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับฝูงกบที่พระองค์ทรงนำมายังฟาโรห์

13 และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำตามคำทูลของโมเสส กบตายเกลื่อนบ้านเกลื่อนลานและทุ่งนา

14 ชาวอียิปต์เอากบตายมาสุมเป็นกองพะเนิน ส่งกลิ่นเหม็นตลบทั่วดินแดน

15 แต่เมื่อฟาโรห์ทรงเห็นว่าความทุกข์ร้อนบรรเทาลงแล้วก็กลับมีพระทัยแข็งกระด้างไม่ยอมรับฟังโมเสสกับอาโรนอีก เป็นไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้

ภัยพิบัติจากริ้น

16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงบอกอาโรนว่า ‘ท่านจงยื่นไม้เท้าออกและตีฝุ่นบนพื้นดิน’ แล้วฝุ่นทั่วดินแดนอียิปต์จะกลายเป็นริ้น”

17 พวกเขาก็ทำเช่นนั้น และเมื่ออาโรนยื่นมือข้างที่ถือไม้เท้าออกแล้วตีฝุ่นบนพื้นดิน ฝุ่นทั่วดินแดนอียิปต์ก็กลายเป็นฝูงริ้นขึ้นมาตอมคนและสัตว์

18 แต่เมื่อพวกนักเล่นอาคมพยายามจะใช้ศาสตร์อันลี้ลับของตนทำเลียนแบบก็ทำไม่ได้ ริ้นตอมทั้งคนและสัตว์

19 นักเล่นอาคมจึงทูลฟาโรห์ว่า “นี่เป็นผลจากนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า” แต่ฟาโรห์พระทัยแข็งกระด้างไม่ยอมฟัง เป็นไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้

ภัยพิบัติจากเหลือบ

20 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงลุกขึ้นแต่เช้ามืดไปคอยพบฟาโรห์ที่ริมฝั่งแม่น้ำและบอกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงปล่อยประชากรของเราไปเพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา

21 ถ้าเจ้าไม่ยอมปล่อยประชากรของเราไป เราจะส่งฝูงเหลือบมาตอมตัวเจ้า ตอมข้าราชการและราษฎรของเจ้า และเข้าไปในวังในบ้านของพวกเจ้า บ้านของชาวอียิปต์ และแม้แต่พื้นดินก็จะเต็มไปด้วยฝูงเหลือบ

22 “ ‘แต่ในวันนั้นเราจะทำกับดินแดนโกเชนที่ประชากรของเราอาศัยอยู่ต่างออกไป ที่นั่นจะไม่มีฝูงเหลือบเลย เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่เหนือแผ่นดินนี้

23 เราจะแยกให้เห็นความแตกต่างระหว่างประชากรของเราและประชากรของเจ้า หมายสำคัญนี้จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้’ ”

24 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำตามนั้น ฝูงเหลือบจำนวนมหาศาลกรูเข้าไปในพระราชวังของฟาโรห์และบ้านเรือนของข้าราชการ และฝูงเหลือบได้สร้างความเสียหายทั่วดินแดนอียิปต์

25 แล้วฟาโรห์จึงรับสั่งให้โมเสสกับอาโรนมาเข้าเฝ้าแล้วตรัสว่า “จงไปถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของเจ้าในดินแดนนี้”

26 แต่โมเสสทูลว่า “การทำเช่นนั้นไม่ถูกต้อง เครื่องบูชาที่พวกข้าพระบาทถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระบาทเป็นที่รังเกียจของชาวอียิปต์ และหากพวกข้าพระบาทถวายเครื่องบูชาซึ่งเป็นที่น่ารังเกียจในสายตาของพวกเขาที่นี่ จะไม่ถูกพวกเขาเอาหินขว้างตายหรือ?

27 ข้าพระบาททั้งหลายจำเป็นต้องเดินทางสามวันเข้าไปในถิ่นกันดารเพื่อถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระบาทที่นั่นตามที่พระเจ้าทรงบัญชา”

28 ฟาโรห์ตรัสว่า “เราจะให้พวกเจ้าไปถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าในถิ่นกันดาร แต่ว่าพวกเจ้าอย่าไปไกลนัก บัดนี้จงอ้อนวอนพระเจ้าเพื่อเราด้วย”

29 แล้วโมเสสทูลว่า “ทันทีที่จากไป ข้าพระบาทจะกราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าและในวันพรุ่งนี้ฝูงเหลือบจะไปจากฝ่าพระบาท ข้าราชการและประชากรของฝ่าพระบาท แต่ขอฝ่าพระบาทอย่าได้ทรงกลับคำมั่นที่จะปล่อยชนอิสราเอลออกไปถวายเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าอีก”

30 แล้วโมเสสจึงทูลลาฟาโรห์และอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

31 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำตามที่โมเสสทูลขอ ฝูงเหลือบก็ละจากฟาโรห์ ข้าราชการ และราษฎรของพระองค์ ไม่เหลือเหลือบแม้สักตัวเดียว

32 แต่ครั้งนี้ก็เช่นกัน ฟาโรห์มีพระทัยแข็งกระด้างอีกและไม่ยอมปล่อยชนอิสราเอลไป

—https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/EXO/8-ae35f082e62644672aa87960afa25ad8.mp3?version_id=179—