กษัตริย์แห่งอาราดพ่ายแพ้ 1 เมื่อกษัตริย์แห่งอาราดชาวคานาอันผู้อาศัยอยู่ในเนเกบได้ยินข่าวว่าอิสราเอลเคลื่อนเข้ามาตามเส้นทางสู่อาธาริม เขาก็มาโจมตีอิสราเอลและจับบางคนไปเป็นเชลย 2 อิสราเอลจึงถวายปฏิญาณต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “หากพระองค์ทรงช่วยให้พวกเรารบชนะคนเหล่านี้ พวกเราจะทำลายล้างเมืองต่างๆ ของพวกเขาให้ราบเป็นหน้ากลอง” 3 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสดับฟังคำทูลขอของอิสราเอล และทรงมอบชาวคานาอันไว้ในมือของพวกเขา พวกเขาทำลายล้างคนเหล่านั้นกับเมืองต่างๆ จนหมดสิ้น ที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า โฮรมาห์ งูทองสัมฤทธิ์ 4 พวกเขาเดินทางจากภูเขาโฮร์ไปตามทางที่จะไปทะเลแดงเพื่ออ้อมดินแดนเอโดม แต่ประชากรยิ่งรู้สึกท้อแท้มากขึ้น 5 พากันบ่นว่าพระเจ้าและโมเสสว่า “ทำไมท่านถึงได้พาเราออกจากอียิปต์มาตายในถิ่นกันดารนี้? ไม่มีขนมปัง! ไม่มีน้ำ! เราเกลียดมานาที่แสนจะน่าเบื่อ!” 6 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงส่งงูพิษมาในหมู่พวกเขา ชนอิสราเอลหลายคนถูกงูกัดตาย 7 ประชากรจึงมาหาโมเสสและร้องว่า “พวกข้าพเจ้าได้ทำบาปที่บ่นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้ากับบ่นว่าท่าน โปรดอธิษฐานทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าให้นำงูออกไปเถิด” ดังนั้นโมเสสจึงอธิษฐานเผื่อประชากร 8 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงทำงูตัวหนึ่งติดไว้ที่ยอดเสา ผู้ใดถูกงูกัด จงมองดูงูนั้นแล้วจะรอดชีวิต” 9 โมเสสจึงทำงูจากทองสัมฤทธิ์ติดไว้ที่ยอดเสา และเมื่อผู้ที่ถูกงูกัดมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นก็มีชีวิตอยู่ เดินทางไปโมอับ 10 ชนอิสราเอลออกเดินทางมาตั้งค่ายอยู่ที่โอโบท 11 แล้วเดินทางต่อมายังอิเยอาบาริมในถิ่นกันดารตรงข้ามโมอับด้านตะวันออก 12 พวกเขาเดินทางต่อจากที่นั่น และมาตั้งค่ายพักที่หุบเขาเศเรด 13 แล้วเคลื่อนมาตั้งค่ายที่ริมแม่น้ำอารโนนในถิ่นกันดาร ซึ่งต่อเข้าไปในเขตแดนของชาวอาโมไรต์ แม่น้ำอารโนนเป็นเส้นพรมแดนระหว่างโมอับกับอาโมไรต์ 14 […]
Category Archives: กันดารวิถี
กันดารวิถี 22
บาลาคและบาลาอัม 1 แล้วประชากรอิสราเอลเดินทางมาถึงที่ราบโมอับ และตั้งค่ายพักริมแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามเมืองเยรีโค 2 ฝ่ายบาลาคบุตรศิปโปร์ได้เห็นการทั้งปวงซึ่งอิสราเอลทำแก่ชาวอาโมไรต์ 3 และโมอับหวาดผวาเนื่องจากอิสราเอลมีกำลังคนมากมาย โมอับคร้ามกลัวชนอิสราเอลอย่างยิ่ง 4 ชาวโมอับจึงหารือกับบรรดาผู้นำมีเดียนว่า “ฝูงชนนี้จะมากลืนกินทุกอย่างเหมือนวัวกินหญ้า” ดังนั้นบาลาคบุตรศิปโปร์ผู้เป็นกษัตริย์โมอับในเวลานั้น 5 จึงส่งผู้สื่อสารไปเรียกตัวบาลาอัมบุตรเบโอร์ ซึ่งอยู่ที่เปโธร์บ้านเกิดเมืองนอนของเขาใกล้แม่น้ำยูเฟรติส กษัตริย์บาลาคกล่าวว่า “ชนชาติหนึ่งออกมาจากอียิปต์ แห่กันมามืดฟ้ามัวดินและมาประชิดแดนข้าพเจ้าแล้ว 6 โปรดมาแช่งคนเหล่านี้ให้เราด้วยเพราะพวกเขาแข็งแกร่งเกินกำลังของเรา เผื่อว่าเราจะได้ขับไล่พวกเขาออกจากดินแดน เพราะเราทราบมาว่าทุกคนที่ท่านอวยพรก็ได้รับพร ส่วนคนที่ท่านสาปแช่งก็ต้องคำสาป” 7 เหล่าผู้อาวุโสของโมอับและมีเดียนจึงจากไปและนำเงินค่าคำสาปไปด้วย เมื่อมาพบบาลาอัม ก็แจ้งตามที่บาลาคกล่าว 8 บาลาอัมกล่าวว่า “เชิญพักค้างคืนที่นี่ก่อน แล้วข้าพเจ้าจะนำคำตอบที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้” ดังนั้นพวกเจ้านายแห่งโมอับจึงพักอยู่ด้วย 9 พระเจ้าเสด็จมาหาบาลาอัมและตรัสถามว่า “คนเหล่านี้ที่อยู่กับเจ้าเป็นใคร?” 10 บาลาอัมทูลพระเจ้าว่า “บาลาคบุตรศิปโปร์กษัตริย์แห่งโมอับส่งข่าวมาว่า 11 ‘ชนชาติหนึ่งที่ออกมาจากอียิปต์อย่างมืดฟ้ามัวดิน บัดนี้ขอเชิญท่านไปสาปแช่งพวกเขาให้เรา เผื่อว่าเราจะสามารถสู้รบและขับไล่พวกเขาออกไปได้’ ” 12 แต่พระเจ้าตรัสกับบาลาอัมว่า “อย่าไปกับพวกนั้น เจ้าจะสาปแช่งคนเหล่านั้นไม่ได้เพราะพวกเขาได้รับพรแล้ว” 13 เช้าวันรุ่งขึ้นบาลาอัมลุกขึ้นและบอกเจ้านายที่บาลาคส่งมาว่า “กลับไปประเทศของพวกท่านเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปกับพวกท่าน” 14 ดังนั้นเจ้านายชาวโมอับจึงกลับไปรายงานบาลาคว่า “บาลาอัมไม่ยอมมากับพวกเรา” […]
กันดารวิถี 23
บาลาอัมทำนายเป็นครั้งแรก 1 บาลาอัมกล่าวว่า “จงก่อแท่นบูชาขึ้นที่นี่เจ็ดแท่น และเตรียมวัวหนุ่มกับแกะผู้อย่างละเจ็ดตัวให้ข้าพเจ้า” 2 บาลาคก็ปฏิบัติตามโดยถวายวัวหนุ่มและแกะผู้อย่างละตัวบนแท่นแต่ละแท่น 3 แล้วบาลาอัมกล่าวกับบาลาคว่า “จงยืนอยู่ข้างเครื่องบูชาของท่านที่นี่ ข้าพเจ้าจะไปดูว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาหาข้าพเจ้าหรือไม่ แล้วข้าพเจ้าจะบอกให้ฟังว่าพระองค์ตรัสว่าอย่างไร” แล้วเขาก็ขึ้นไปบนยอดเนินเขา 4 พระเจ้ามาปรากฏแก่บาลาอัม และเขากราบทูลว่า “ข้าพระองค์ได้เตรียมแท่นบูชาเจ็ดแท่น และได้ถวายวัวหนุ่มกับแกะผู้อย่างละตัวบนแท่นแต่ละแท่น” 5 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใส่ถ้อยคำในปากของบาลาอัมและตรัสว่า “จงกลับไปหาบาลาค และกล่าวกับเขาตามนี้” 6 บาลาอัมจึงกลับลงมา และพบบาลาคยืนอยู่ข้างเครื่องบูชาพร้อมด้วยบรรดาเจ้านายของโมอับ 7 บาลาอัมจึงกล่าวคำพยากรณ์ว่า “บาลาคนำข้าพเจ้ามาจากอารัม กษัตริย์แห่งโมอับพาข้าพเจ้ามาจากภูเขาทางตะวันออก เขากล่าวว่า ‘มาเถิด มาแช่งยาโคบให้เรา จงมาประณามอิสราเอล’ 8 ข้าพเจ้าจะสาปแช่ง ผู้ที่พระเจ้าไม่ได้ทรงสาปแช่งได้อย่างไร? ข้าพเจ้าจะประณาม ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงประณามได้อย่างไร? 9 จากยอดผา ข้าพเจ้าเห็นคนเหล่านั้น จากเบื้องสูง ข้าพเจ้าแลเห็นพวกเขา ข้าพเจ้าเห็นชนชาติหนึ่งอยู่ตามลำพัง และไม่ได้ถือว่าตนเป็นหนึ่งในบรรดาประชาชาติ 10 ใครเล่าอาจนับยาโคบซึ่งมากมายดั่งผงธุลี? ใครเล่าอาจนับแม้เพียงเสี้ยวของอิสราเอล? ขอให้ข้าพเจ้าได้ตายอย่างคนชอบธรรมเถิด ขอให้บั้นปลายชีวิตของข้าพเจ้าเป็นเช่นพวกเขาเถิด!” 11 บาลาคกล่าวกับบาลาอัมว่า “ท่านทำอะไร? เราพาท่านมาแช่งศัตรู ท่านกลับมาอวยพรพวกเขา!” […]
กันดารวิถี 24
1 เมื่อบาลาอัมเห็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยที่จะอวยพรอิสราเอล ก็ไม่ได้ไปเสี่ยงทายเหมือนครั้งก่อนๆ แต่ตรงไปมองดูถิ่นกันดารทันที 2 เมื่อบาลาอัมมองไปเห็นอิสราเอลแยกตั้งค่ายตามเผ่า พระวิญญาณของพระเจ้าก็มาอยู่เหนือบาลาอัม 3 เขาจึงกล่าวคำพยากรณ์ว่า “คำพยากรณ์ของบาลาอัมบุตรเบโอร์ คำทำนายของผู้มีตาสว่าง 4 คำพยากรณ์ของผู้ได้ยินพระดำรัสของพระเจ้า ผู้เห็นนิมิตจากองค์ทรงฤทธิ์ ผู้ล้มลง แล้วตาก็เปิดออก 5 “ยาโคบเอ๋ย! เต็นท์ของท่านงามยิ่งนัก อิสราเอลเอ๋ย ที่พำนักของท่านงามเหลือเกิน 6 “พวกเขาแผ่ขยายออกไปดั่งหุบเขา ดั่งอุทยานริมแม่น้ำ ดั่งต้นกฤษณาซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปลูกไว้ ดั่งต้นสนซีดาร์ริมน้ำ 7 น้ำจะไหลล้นจากถังของเขา เมล็ดพันธุ์ของเขาจะมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ “กษัตริย์ของเขาจะยิ่งใหญ่กว่าอากัก ราชอาณาจักรของเขาจะได้รับการเชิดชู 8 “พระเจ้าทรงพาพวกเขาออกจากอียิปต์ พวกเขาทรงพลังเยี่ยงวัวป่า พวกเขาเขมือบชนชาติต่างๆ ซึ่งเป็นศัตรู หักกระดูกของพวกนั้นเป็นชิ้นๆ พวกเขาทิ่มแทงคนเหล่านั้นด้วยลูกธนู 9 พวกเขาเอนตัวลงนอนเยี่ยงราชสีห์ เยี่ยงนางสิงห์ ใครจะกล้าไปแหย่พวกเขาได้? “ขอให้ผู้ที่อวยพรท่านได้รับพร และให้ผู้ที่แช่งท่านถูกแช่ง!” 10 บาลาคโกรธจัด ทุบกำปั้นและตวาดว่า “เราเรียกให้เจ้ามาแช่งศัตรู แต่เจ้ากลับมาอวยพรพวกมันถึงสามครั้งสามครา 11 ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้ กลับบ้านไป! เราคิดจะปูนบำเหน็จให้เจ้าอย่างงาม แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขัดขวางไว้เสียแล้ว” 12 […]
กันดารวิถี 25
โมอับล่อลวงอิสราเอล 1 ขณะอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ที่ชิทธีม พวกผู้ชายเริ่มทำผิดทางเพศกับหญิงชาวโมอับ 2 ผู้เชื้อเชิญพวกเขาไปร่วมเซ่นสังเวยแก่พระของพวกนาง พวกเขาก็ร่วมงานเลี้ยงและกราบไหว้พระเหล่านั้น 3 อิสราเอลหันไปร่วมนมัสการพระบาอัลแห่งเปโอร์องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอิสราเอลยิ่งนัก 4 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงนำตัวบรรดาผู้นำของประชาชนเหล่านั้นมาประหาร แล้วแขวนไว้กลางแดดระอุต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อพระพิโรธอันรุนแรงขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะหันเหไปจากอิสราเอล” 5 ดังนั้นโมเสสจึงสั่งเหล่าตุลาการของอิสราเอลว่า “พวกท่านแต่ละคนจะต้องประหารคนของพวกท่านที่ได้ร่วมนมัสการพระบาอัลแห่งเปโอร์” 6 ขณะนั้นชายอิสราเอลคนหนึ่งพาหญิงชาวมีเดียนเข้ามาในค่ายพักต่อหน้าต่อตาโมเสสและชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งหมดซึ่งยืนร่ำไห้อยู่ตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ 7 เมื่อฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์บุตรของปุโรหิตอาโรนเห็นเช่นนี้ ก็ละจากชุมนุมประชากรและจับทวน 8 ติดตามชายผู้นั้นเข้าไปในเต็นท์ แล้วพุ่งทวนทะลุร่างของคนทั้งสอง ภัยพิบัติที่เกิดแก่ชนอิสราเอลก็สงบลง 9 แต่ก็มีผู้เสียชีวิตเพราะภัยพิบัติไปแล้วถึง 24,000 คน 10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 11 “ฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์ หลานชายปุโรหิตอาโรน เป็นผู้หันโทสะของเราไปจากชนอิสราเอล เพราะเขาเจ็บแค้นแทนเรา เพื่อปกป้องเกียรติของเรา เราจึงหยุดทำลายล้างอิสราเอลตามที่ตั้งใจไว้ 12 ฉะนั้นจงบอกเขาว่าเราได้ตั้งพันธสัญญาแห่งสันติภาพกับเขา 13 เขากับลูกหลานจะได้ถือพันธสัญญาครองความเป็นปุโรหิตตลอดไป เนื่องจากเขามีใจกระตือรือร้นเพื่อเกียรติของพระเจ้าของเขา และได้ลบบาปให้ชนอิสราเอล” 14 ชาวอิสราเอลคนที่ถูกประหารพร้อมหญิงชาวมีเดียนนั้นคือศิมรีบุตรของสาลู เขาเป็นผู้นำคนหนึ่งของตระกูลสิเมโอน 15 หญิงคนนั้นชื่อคสบี บุตรสาวศูร์ซึ่งเป็นผู้นำคนหนึ่งของชาวมีเดียน 16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 17 “จงตั้งตนเป็นศัตรูกับชาวมีเดียนและประหารพวกเขา 18 […]
กันดารวิถี 26
สำมะโนประชากรครั้งที่สอง 1 หลังจากภัยพิบัติยุติลงแล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและเอเลอาซาร์บุตรปุโรหิตอาโรนว่า 2 “จงทำสำมะโนประชากรชายทุกคนในอิสราเอลที่มีอายุยี่สิบปีขึ้นไป เพื่อสำรวจว่าในแต่ละครอบครัวมีใครบ้างที่สามารถออกรบได้” 3 ดังนั้นโมเสสและปุโรหิตเอเลอาซาร์จึงแจ้งพวกเขาขณะตั้งค่ายอยู่ในที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดนตรงข้ามเมืองเยรีโคว่า 4 “จงทำสำมะโนประชากรชายอายุยี่สิบปีขึ้นไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส” ชนอิสราเอลที่ออกมาจากอียิปต์ ได้แก่ 5 วงศ์วานของรูเบนบุตรหัวปีของอิสราเอลได้แก่ ตระกูลฮาโนคจากฮาโนค ตระกูลปัลลูจากปัลลู 6 ตระกูลเฮสโรนจากเฮสโรน ตระกูลคารมีจากคารมี 7 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของรูเบน นับได้ 43,730 คน 8 บุตรชายของปัลลูคือเอลีอับ 9 และบุตรชายของเอลีอับคือ เนมูเอล ดาธาน และอาบีรัม ดาธานและอาบีรัมนี้เป็นเจ้าหน้าที่ของชุมชนซึ่งได้กบฏต่อโมเสสและต่ออาโรน และเป็นพรรคพวกของโคราห์เมื่อเขากบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า 10 พื้นธรณีแยกออกและสูบพวกเขาลงไปพร้อมกับโคราห์ และพรรคพวกของเขา 250 คนถูกไฟคลอกตาย และนั่นเป็นเครื่องเตือนเหล่าประชากร 11 แต่เชื้อสายโคราห์ไม่ได้สูญสิ้นไป 12 วงศ์วานของสิเมโอนแยกตามตระกูล ได้แก่ ตระกูลเนมูเอลจากเนมูเอล ตระกูลยามีนจากยามีน ตระกูลยาคีนจากยาคีน 13 ตระกูลเศราห์จากเศราห์ และตระกูลชาอูลจากชาอูล 14 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของสิเมโอน นับได้ […]
กันดารวิถี 27
บุตรสาวของเศโลเฟหัด 1 บุตรสาวของเศโลเฟหัดได้แก่ มาห์ลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์ เศโลเฟหัดซึ่งอยู่ในตระกูลของมนัสเสห์เป็นบุตร ของเฮเฟอร์บุตรกิเลอาดซึ่งเป็นบุตรมาคีร์บุตรของมนัสเสห์ 2 หญิงเหล่านี้มายังบริเวณทางเข้าเต็นท์นัดพบและร้องเรียนต่อโมเสส ปุโรหิตเอเลอาซาร์ หัวหน้าตระกูลต่างๆ และชุมนุมประชากรทั้งหมดว่า 3 “บิดาของพวกเราเสียชีวิตในถิ่นกันดารเพราะบาปของท่านเอง และท่านไม่มีบุตรชาย ท่านไม่ได้เป็นหนึ่งในพวกโคราห์ที่รวมหัวกันกบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า 4 เหตุใดนามของท่านจะต้องถูกลบไปจากตระกูลเพียงเพราะท่านไม่มีบุตรชาย? โปรดให้พวกข้าพเจ้าได้รับกรรมสิทธิ์ร่วมกับญาติพี่น้องของบิดาเถิด” 5 โมเสสจึงกราบทูลเรื่องนี้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า 6 และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า 7 “บุตรสาวของเศโลเฟหัดพูดถูก เจ้าต้องแบ่งที่ดินให้พวกนางเป็นมรดกร่วมกับพี่น้องของบิดา จงยกส่วนแบ่งของบิดาให้แก่พวกนางเถิด 8 “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘หากชายใดสิ้นชีวิตไปโดยไม่มีบุตรชาย มรดกของเขาจะยกให้เป็นของบุตรสาว 9 หากคนนั้นไม่มีบุตรสาว มรดกนั้นก็จะยกให้พี่ชายน้องชายของเขา 10 หากเขาไม่มีพี่ชายหรือน้องชาย มรดกจะตกเป็นของพี่ชายหรือน้องชายของบิดาเขา 11 หากบิดาของเขาไม่มีพี่ชายหรือน้องชาย มรดกจะตกเป็นของญาติสนิทที่สุดในตระกูลของเขา นี่เป็นข้อกำหนดตามกฎหมายสำหรับชนอิสราเอลตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส’ ” โยชูวารับหน้าที่สืบต่อจากโมเสส 12 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงขึ้นไปบนเทือกเขาอาบาริมนี้ และมองดูแผ่นดินที่เรายกให้ชนอิสราเอล 13 เมื่อเจ้าได้ดูแล้ว เจ้าก็จะตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้าเหมือนอาโรนพี่ชายของเจ้า 14 เพราะเจ้าทั้งสองฝ่าฝืนคำสั่งของเรา ไม่ได้ให้เกียรติเราในฐานะองค์บริสุทธิ์ต่อหน้าชนอิสราเอล […]
กันดารวิถี 28
เครื่องบูชาประจำวัน 1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 2 “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘จงใส่ใจที่จะนำเครื่องบูชามาถวายเราตามเวลาที่กำหนด เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นหอมที่เราพอใจ’ 3 จงบอกเขาว่า ‘เครื่องบูชาด้วยไฟที่เจ้านำมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้านั้นประกอบด้วยลูกแกะอายุหนึ่งขวบซึ่งไม่มีตำหนิ วันละสองตัว เป็นเครื่องเผาบูชาประจำวัน 4 ตัวหนึ่งถวายตอนเช้า อีกตัวหนึ่งถวายตอนพลบค่ำ 5 และถวายธัญบูชาควบคู่คือแป้งโม่ละเอียดประมาณ 2 ลิตรเคล้าน้ำมันมะกอกประมาณ 1 ลิตร 6 นี่เป็นเครื่องเผาบูชาที่กำหนดไว้ที่ภูเขาซีนาย ให้ถวายเป็นประจำ เป็นกลิ่นหอมที่พอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 7 เครื่องดื่มบูชาที่ถวายควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัวนั้นคือเหล้าประมาณ 1 ลิตร ให้รินเครื่องดื่มบูชานี้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าในสถานนมัสการ 8 จงถวายลูกแกะตัวที่สองในตอนพลบค่ำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาอย่างเดียวกับในตอนเช้า เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย เครื่องบูชาสำหรับวันสะบาโต 9 “ ‘ในวันสะบาโต จงถวายลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสองตัว ควบคู่กับเครื่องดื่มบูชาและธัญบูชาคือแป้งโม่ละเอียดประมาณ 4.5 ลิตรเคล้าน้ำมัน 10 เป็นเครื่องเผาบูชาสำหรับทุกวันสะบาโต นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามปกติ เครื่องบูชาประจำทุกเดือน 11 “ ‘ทุกวันต้นเดือนจงถวายเครื่องเผาบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าโดยใช้วัวหนุ่มสองตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ 12 เจ้าต้องถวายธัญบูชาคือ ถวายแป้งโม่ละเอียดเคล้าน้ำมันประมาณ […]
กันดารวิถี 29
เทศกาลเสียงแตร 1 “ ‘ในวันที่หนึ่งเดือนที่เจ็ดของทุกปี จงจัดการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์และอย่าทำงาน ให้เจ้าเป่าแตรในวันนี้ 2 จงถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ เป็นเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย 3 ถวายธัญบูชาคือ แป้งโม่ละเอียดประมาณ 6.5 ลิตรเคล้าน้ำมันควบคู่กับวัวหนุ่ม ถวายแป้งประมาณ 4.5 ลิตรควบคู่กับแกะผู้ 4 และถวายแป้งประมาณ 2 ลิตรควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัว 5 และจงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อลบบาปของเจ้า 6 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชา ธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่ถวายเป็นประจำทุกวันและทุกเดือน จงถวายเครื่องบูชาตามที่กล่าวมานี้ เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นกลิ่นหอมที่พอพระทัย วันลบบาป 7 “ ‘ในวันที่สิบของเดือนที่เจ็ดนั้น จงจัดการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์ เจ้าต้องบังคับตนและอย่าทำงาน 8 จงถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ เป็นเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย 9 ถวายธัญบูชาคือแป้งโม่ละเอียดประมาณ 6.5 ลิตรเคล้าน้ำมันควบคู่กับวัวหนุ่ม ถวายแป้งประมาณ 4.5 ลิตรควบคู่กับแกะผู้ 10 และถวายแป้งประมาณ 2 ลิตรควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัว 11 […]
กันดารวิถี 30
คำปฏิญาณ 1 โมเสสแจ้งหัวหน้าเผ่าต่างๆ ของอิสราเอลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาดังนี้คือ 2 ผู้ใดถวายปฏิญาณต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือลั่นวาจาสาบานว่าจะทำสิ่งใด ก็อย่าผิดคำปฏิญาณให้เขาทำตามที่ลั่นวาจาไว้ทุกประการ 3 “หญิงสาวคนใดที่ยังอยู่ในการปกครองของบิดาและกล่าวปฏิญาณต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือกล่าวคำสาบาน 4 และบิดาของนางได้ยินนางกล่าวปฏิญาณหรือคำสาบานนั้น แต่เขาไม่ได้ทักท้วงอะไร คำปฏิญาณหรือคำสาบานทุกประการของนางก็ยังมีผลอยู่ 5 แต่หากบิดาของนางได้ยินและคัดค้านคำปฏิญาณหรือคำสาบานนั้นก็เป็นโมฆะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงถือโทษนางเนื่องจากบิดาของนางคัดค้าน 6 “หากนางแต่งงานหลังจากที่ได้กล่าวปฏิญาณหรือพลั้งปากสาบานโดยไม่ยั้งคิด 7 และสามีของนางได้ทราบคำปฏิญาณนั้นในภายหลังและไม่ได้ทักท้วงอะไร คำปฏิญาณหรือคำสาบานของนางก็ยังคงมีผลอยู่ 8 แต่หากสามีของนางได้ทราบและคัดค้านคำปฏิญาณหรือวาจาพลั้งปากของนางนั้นก็เป็นโมฆะ และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงถือโทษนาง 9 “แต่คำปฏิญาณหรือคำสาบานของหญิงม่ายหรือหญิงที่ถูกหย่าร้างจะยังมีผลบังคับ 10 “หากหญิงที่อยู่กินกับสามีกล่าวคำปฏิญาหรือคำสาบานผูกมัดตัวเอง 11 และสามีของนางได้ยินคำปฏิญาณนั้น แต่ไม่ได้คัดค้านหรือทักท้วงอะไร คำปฏิญาณหรือคำสาบานทุกประการก็ยังคงมีผลอยู่ 12 แต่หากสามีของนางได้ยินแล้วคัดค้านคำปฏิญาณหรือคำสาบานจากปากของนางถือเป็นโมฆะ และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงถือโทษนาง 13 ฉะนั้นสามีของนางอาจจะรับรองคำปฏิญาณหรือทำให้เป็นโมฆะก็ได้ 14 แต่หากเขาไม่ได้พูดอะไรนับตั้งแต่ที่เขาได้ยิน ให้ถือว่าเขาได้รับรองคำปฏิญาณนั้นแล้ว การที่เขาไม่ได้กล่าวทักท้วงใดๆ ให้ถือเป็นการยืนยันรับรองคำปฏิญาณหรือคำสาบานนั้นๆ 15 แต่ถ้าเขามากล่าวทักท้วงในภายหลัง เขาจะต้องรับผิดชอบต่อความผิดของนาง” 16 ทั้งหมดนี้คือระเบียบซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่โมเสสเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสามีกับภรรยา และบิดากับบุตรสาวในปกครอง —https://cdn-youversionapi.global.ssl.fastly.net/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/30-32df4f5810d12d82e4ef6527a8169d64.mp3?version_id=179—