สันติสุขและความชื่นชมยินดี 1 เหตุฉะนั้นเมื่อเราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้าโดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา 2 โดยทางพระองค์เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่นี้ด้วยความเชื่อ และเราจึงชื่นชมยินดีในความหวังที่จะได้มีส่วนในพระเกียรติสิริของพระเจ้า 3 ไม่เพียงเท่านั้นแต่เรายังชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้นก่อให้เกิดความบากบั่น 4 ความบากบั่นทำให้เรามีอุปนิสัยที่พิสูจน์แล้วว่าใช้การได้ และอุปนิสัยเช่นนั้นทำให้มีความหวัง 5 และความหวังไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะพระเจ้าทรงเทความรักของพระองค์เข้ามาในจิตใจของเราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่เรา 6 เมื่อเรายังไร้กำลัง พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อคนบาปในเวลาอันเหมาะ 7 น้อยนักที่จะมีใครตายเพื่อคนชอบธรรม แม้ว่าอาจจะมีบางคนกล้าที่จะตายเพื่อคนดีก็ได้ 8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา 9 ในเมื่อบัดนี้เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้นเราจะรอดพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้าโดยพระองค์อย่างแน่นอน! 10 เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้าโดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน! 11 ไม่เพียงเท่านี้แต่เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้าโดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วย บัดนี้พระองค์ทรงทำให้เราคืนดีกับพระเจ้าแล้ว ความตายมาทางอาดัม ชีวิตมาทางพระคริสต์ 12 ฉะนั้นเช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียวและบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เองความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์เพราะทุกคนได้ทำบาป 13 เพราะก่อนมีบทบัญญัติบาปก็อยู่ในโลกแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีบทบัญญัติก็ไม่ถือว่าบาป 14 อย่างไรก็ตามความตายก็ครอบครองมาตั้งแต่สมัยของอาดัมจนถึงสมัยของโมเสส แม้แต่คนที่ไม่ได้ทำบาปโดยละเมิดพระบัญชาเหมือนอาดัมผู้เป็นแบบของพระองค์ซึ่งจะเสด็จมาภายหลัง 15 แต่ของประทานนั้นต่างจากการล่วงละเมิด เพราะถ้าคนเป็นอันมากตายเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์เพียงคนเดียว ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระคุณของพระเจ้าและของประทานโดยพระคุณของพระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียวนั้นย่อมล้นไหลไปสู่คนเป็นอันมาก! 16 และของประทานจากพระเจ้าก็ต่างจากผลของบาปของมนุษย์คนเดียว กล่าวคือการพิพากษาเกิดขึ้นหลังจากการทำบาปเพียงครั้งเดียวและนำไปสู่การลงโทษ แต่ของประทานเกิดขึ้นหลังจากการล่วงละเมิดหลายๆ […]
Monthly Archives: June 2018
โรม 6
ตายต่อบาป แต่มีชีวิตในพระคริสต์ 1 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? เราควรจะทำบาปต่อไปเพื่อพระคุณจะได้มีมากยิ่งขึ้นหรือ? 2 อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย! เราได้ตายต่อบาปแล้ว เราจะดำเนินชีวิตในบาปต่อไปได้อย่างไร? 3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์? 4 ฉะนั้นเราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้วโดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายโดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้วเพื่อกายบาปนั้นจะถูกขจัดไปเพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป 7 เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้วก็เป็นอิสระจากบาป 8 ถ้าเราตายกับพระคริสต์แล้ว เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย 9 เพราะเรารู้ว่าในเมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายแล้ว พระองค์จะไม่มีวันตายอีก ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์อีกต่อไป 10 ที่พระองค์ทรงตายนั้นทรงตายต่อบาปครั้งเดียวเป็นพอ แต่ที่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่นั้นทรงมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า 11 ในทำนองเดียวกันจงถือว่าตัวท่านเองตายต่อบาปและมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ 12 เหตุฉะนั้นอย่าให้บาปครอบครองกายที่ต้องตายของท่าน ซึ่งทำให้ท่านต้องยอมทำตามความปรารถนาชั่วของกายนั้น 13 อย่ายกส่วนต่างๆ ในกายของท่านให้แก่บาปเป็นเครื่องมือของความชั่วร้าย แต่จงถวายตัวของท่านเองแด่พระเจ้าในฐานะผู้ที่ทรงให้มีชีวิต เป็นขึ้นจากตาย และถวายส่วนต่างๆ ในกายของท่านแด่พระองค์ให้เป็นเครื่องมือของความชอบธรรม 14 เพราะบาปจะไม่เป็นนายของท่านอีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติแต่อยู่ใต้พระคุณ ทาสของความชอบธรรม 15 เช่นนี้แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป? เราจะทำบาปเพราะเราไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติแต่อยู่ใต้พระคุณ หรือ? อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย! 16 ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น? […]
โรม 7
ตัวอย่างจากชีวิตสมรส 1 พี่น้องทั้งหลายท่านไม่รู้หรือว่าบทบัญญัตินั้นมีอำนาจเหนือมนุษย์ตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น? ที่ข้าพเจ้าถามเช่นนี้เพราะข้าพเจ้ากำลังพูดกับผู้ที่รู้บทบัญญัติ 2 ตัวอย่างเช่น ตามบทบัญญัติผู้หญิงที่แต่งงานแล้วย่อมมีข้อผูกมัดกับสามีของนางตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าสามีของนางตายไป นางก็พ้นจากกฎของการสมรสนี้ 3 ดังนั้นถ้านางไปแต่งงานกับชายอื่นขณะที่สามี ของนางยังมีชีวิตอยู่ นางก็ได้ชื่อว่าเป็นหญิงล่วงประเวณี แต่ถ้าสามีของนางตายไป นางก็พ้นจากกฎนั้น แม้นางไปแต่งงานกับชายอื่นก็ไม่เป็นการล่วงประเวณี 4 ดังนั้นพี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้าท่านเองก็ตายจากบทบัญญัติแล้วโดยทางพระกายของพระคริสต์ เพื่อท่านจะเป็นของอีกผู้หนึ่ง คือเป็นของพระองค์ผู้ทรงเป็นขึ้นจากตาย เพื่อเราจะเกิดผลถวายแด่พระเจ้า 5 เพราะเมื่อก่อนเราถูกวิสัยบาปควบคุมอยู่จึงถูกบทบัญญัติกระตุ้นตัณหาชั่วให้ออกฤทธิ์ในกายของเรา เพื่อให้เราเกิดผลอันนำไปสู่ความตาย 6 แต่บัดนี้โดยการตายต่อสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยผูกมัดเรา เราก็ได้รับการปลดปล่อยจากบทบัญญัติแล้ว เพื่อรับใช้ตามแนวทางใหม่คือตามพระวิญญาณ ไม่ใช่ตามแนวทางเดิมคือตามบทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษร ต่อสู้กับบาป 7 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? บทบัญญัติคือบาปหรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน! อันที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะบทบัญญัติ ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าอะไรคือบาป เพราะถ้าบทบัญญัติไม่ได้กล่าวว่า “อย่าโลภ”ข้าพเจ้าคงไม่รู้ว่าอะไรคือความโลภ 8 แต่บาปฉวยโอกาสจากพระบัญญัติมาก่อความโลภทุกชนิดขึ้นในตัวข้าพเจ้า เพราะถ้าไม่มีบทบัญญัติ บาปก็ตายแล้ว 9 ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าดำเนินชีวิตโดยไม่มีบทบัญญัติ แต่พอมีพระบัญญัติ บาปก็มีชีวิตขึ้นมาและข้าพเจ้าก็ตาย 10 ข้าพเจ้าพบว่าพระบัญญัตินั้นเองที่มุ่งหมายให้นำชีวิตมาแท้จริงกลับนำความตายมา 11 เพราะบาปฉวยโอกาสจากพระบัญญัติมาล่อลวงข้าพเจ้า และบาปทำให้ข้าพเจ้าตายโดยทางพระบัญญัตินั้น 12 ดังนั้นแล้วบทบัญญัติจึงบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์และพระบัญญัติก็บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ชอบธรรม และดีงาม […]
โรม 8
ชีวิตโดยทางพระวิญญาณ 1 เหตุฉะนั้นบัดนี้จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย 3 เพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้เนื่องจากวิสัยบาปทำให้อ่อนแอนั้นพระเจ้าทรงกระทำแล้ว โดยส่งพระบุตรของพระองค์เองมาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ที่เป็นคนบาปเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปและโดยการกระทำเช่นนี้พระองค์ได้ตัดสินลงโทษบาปในมนุษย์ที่เป็นคนบาป 4 เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติจะได้สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลายผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ 5 ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาปก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์ 6 จิตใจของคนบาปนำไปสู่ความตาย แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุมนำไปสู่ชีวิตและสันติสุข 7 จิตใจที่เต็มไปด้วยบาปก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ยอมอยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า ทั้งไม่สามารถอยู่ได้ด้วย 8 บรรดาผู้ที่วิสัยบาปควบคุมอยู่ไม่อาจเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าได้ 9 อย่างไรก็ตามถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาปแต่โดยพระวิญญาณ และถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์ 10 แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไปเพราะบาป ถึงกระนั้นจิตวิญญาณของท่านก็มีชีวิตอยู่เพราะความชอบธรรม 11 และถ้าพระวิญญาณของพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตายสถิตในท่าน พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจะประทานชีวิตแก่กายซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระองค์ประทานชีวิตนั้นโดยทางพระวิญญาณของพระองค์ผู้สถิตในท่าน 12 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เราจึงมีพันธะ แต่ไม่ใช่พันธะต่อวิสัยบาปที่จะต้องดำเนินชีวิตตามนั้น 13 เพราะถ้าท่านดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ท่านก็จะตาย แต่ถ้าท่านได้ประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกายของท่านโดยพระวิญญาณ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่ 14 เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นเป็นบุตรของพระเจ้า 15 ท่านไม่ได้รับวิญญาณซึ่งทำให้ท่านเป็นทาสของความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทำให้ท่านเป็นบุตรของพระเจ้าและโดยพระองค์ เราร้องว่า “อับบาพ่อ” 16 […]
โรม 9
พระเจ้าทรงอำนาจสูงสุดในการเลือกสรร 1 ข้าพเจ้าพูดความจริงในพระคริสต์ ข้าพเจ้าไม่ได้กำลังมุสา จิตสำนึกของข้าพเจ้ายืนยันโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า 2 ข้าพเจ้าทุกข์โศกยิ่งนักและปวดร้าวใจไม่หยุดหย่อน 3 เพราะข้าพเจ้าปรารถนาว่าถ้าเป็นไปได้ให้ข้าพเจ้าเองถูกสาปแช่งและถูกตัดขาดจากพระคริสต์เพื่อพี่น้องของข้าพเจ้าผู้เป็นคนเชื้อชาติเดียวกับข้าพเจ้า 4 คือประชากรอิสราเอล พวกเขาได้เป็นบุตรของพระเจ้า ได้รับพระเกียรติสิริของพระเจ้า ได้รับพันธสัญญา บทบัญญัติ พิธีนมัสการในพระวิหาร และพระสัญญาต่างๆ 5 พวกเขามีบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่ และเมื่อพระคริสต์ทรงเป็นมนุษย์ พระองค์ก็สืบเชื้อสายมาจากพวกเขา พระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเหนือสรรพสิ่งทรงได้รับการสรรเสริญเป็นนิตย์! อาเมน 6 ไม่ใช่ว่าพระดำรัสของพระเจ้าได้ล้มเหลวไป เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สืบเชื้อสายจากอิสราเอลเป็นอิสราเอล 7 ทั้งไม่ใช่ทุกคนที่สืบเชื้อสายของอับราฮัมจะเป็นลูกหลานของอับราฮัม แต่ตรงกันข้าม “พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะนับทางอิสอัค” 8 กล่าวอีกนัยหนึ่งว่าบุตรของพระเจ้าไม่ใช่บุตรตามสายเลือด แต่เป็นบุตรตามพระสัญญาจึงถือว่าเป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม 9 เพราะพระสัญญาระบุไว้ว่า “เมื่อถึงเวลาที่กำหนดเราจะกลับมาและซาราห์จะให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง” 10 ไม่เพียงเท่านั้น แต่บุตรทั้งหลายของเรเบคาห์ก็มีบิดาคนเดียวกันคืออิสอัคบรรพบุรุษของเรา 11 แต่ก่อนที่บุตรฝาแฝดนั้นจะเกิดมา หรือก่อนที่พวกเขาจะทำสิ่งดีหรือชั่วใดๆ ทั้งนี้เพื่อว่าพระประสงค์ของพระเจ้าในการทรงเลือกจะคงอยู่ 12 คือไม่ใช่โดยการประพฤติ แต่โดยพระองค์ผู้ทรงเรียก พระองค์จึงตรัสกับนางว่า “พี่จะรับใช้น้อง” 13 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “ยาโคบนั้นเรารัก ส่วนเอซาวเราชัง” 14 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? พระเจ้าไม่ยุติธรรมหรือ? […]
โรม 10
1 พี่น้องทั้งหลาย ความปรารถนาในใจและคำอธิษฐานของข้าพเจ้าต่อพระเจ้าเพื่อชนชาติอิสราเอลคือ ขอให้เขาทั้งหลายได้รับความรอด 2 เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่าพวกเขาร้อนรนเพื่อพระเจ้า แต่ความร้อนรนของพวกเขาไม่ได้ตั้งอยู่บนความรู้ 3 เนื่องจากพวกเขาไม่รู้จักความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้าและพยายามตั้งความชอบธรรมของตนเองขึ้นมา พวกเขาจึงไม่ยอมรับความชอบธรรมของพระเจ้า 4 พระคริสต์ทรงเป็นจุดจบของบทบัญญัติเพื่อจะมีความชอบธรรมสำหรับทุกคนที่เชื่อ 5 โมเสสบรรยายถึงความชอบธรรมโดยบทบัญญัติไว้อย่างนี้คือ “ผู้ใดที่ทำสิ่งเหล่านี้จะมีชีวิตอยู่โดยสิ่งเหล่านี้” 6 แต่ความชอบธรรมโดยความเชื่อกล่าวว่า “อย่านึกในใจว่า ‘ใครเล่าจะขึ้นไปบนสวรรค์?’” (คือเชิญพระคริสต์ลงมา) 7 “หรือ ‘ใครจะลงสู่เบื้องลึก?’” (คือเชิญพระคริสต์ขึ้นจากความตาย) 8 แต่ความชอบธรรมนั้นว่าอย่างไร? “ถ้อยคำนี้อยู่ใกล้ตัวท่าน อยู่ในปากและอยู่ในใจของท่าน”คือถ้อยคำแห่งความเชื่อที่เรากำลังประกาศอยู่ 9 นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด 11 ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดที่วางใจใน พระองค์จะไม่ได้รับความอับอายเลย” 12 เพราะไม่ว่าจะเป็นคนยิวหรือคนต่างชาติก็ไม่ต่างกันเลย พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวงและทรงอวยพรอย่างอุดมแก่คนทั้งปวงที่ร้องเรียกพระองค์ 13 เพราะว่า “ทุกคนที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้รับการช่วยให้รอด” 14 แล้วผู้ที่ยังไม่เชื่อจะร้องเรียกพระองค์ได้อย่างไร? และผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องของพระองค์จะเชื่อได้อย่างไร? และหากไม่มีใครประกาศเรื่องของพระองค์ พวกเขาจะได้ยินได้อย่างไร? 15 และถ้าไม่มีใครส่งเขาไป […]
โรม 11
ชนอิสราเอลที่เหลืออยู่ 1 ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขอถามว่าพระเจ้าทรงละทิ้งประชากรของพระองค์แล้วหรือ? เปล่าเลย! ข้าพเจ้าเองก็เป็นชาวอิสราเอล เป็นเชื้อสายของอับราฮัมจากตระกูลเบนยามิน 2 พระเจ้าไม่ได้ทรงละทิ้งประชากรของพระองค์ผู้ซึ่งทรงเลือกไว้ล่วงหน้าแล้ว ท่านไม่รู้พระคัมภีร์ตอนที่กล่าวถึงเอลียาห์หรือที่เขาร้องเรียนต่อพระเจ้าเกี่ยวกับอิสราเอลว่า 3 “พระองค์เจ้าข้า เขาทั้งหลายสังหารเหล่าผู้เผยพระวจนะของพระองค์ รื้อแท่นบูชาของพระองค์ลง เหลือข้าพระองค์เพียงคนเดียวและพวกเขากำลังพยายามฆ่าข้าพระองค์”? 4 และพระเจ้าตรัสตอบเขาว่าอย่างไร? “เราได้สงวนคนไว้สำหรับเราเจ็ดพันคนซึ่งไม่ได้คุกเข่ากราบไหว้พระบาอัล” 5 เช่นนั้นแหละ ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีคนที่เหลืออยู่ซึ่งทรงเลือกสรรไว้โดยพระคุณ 6 และถ้าทรงเลือกโดยพระคุณย่อมไม่ใช่โดยการประพฤติอีกต่อไป เพราะถ้าโดยการประพฤติ พระคุณจะไม่ใช่พระคุณอีกต่อไป 7 แล้วเป็นอย่างไร? อิสราเอลไม่ได้สิ่งที่เขาขวนขวายหา แต่ผู้ที่ทรงเลือกกลับได้รับ คนอื่นๆ นอกจากนั้นถูกทำให้มีใจแข็งกระด้าง 8 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “พระเจ้าทรงให้เขามีจิตใจที่มึนชา มีตาที่ไม่อาจมองเห็น และหูที่ไม่อาจได้ยิน จนถึงทุกวันนี้” 9 และดาวิดตรัสว่า “ขอให้สำรับของพวกเขากลายเป็นบ่วงแร้วและเป็นกับดัก เป็นหินสะดุดและเป็นการลงโทษสำหรับพวกเขา 10 ขอให้ดวงตาของพวกเขามืดมัวไป พวกเขาจะได้มองไม่เห็น และขอให้หลังของพวกเขาค้อมลงตลอดไป” กิ่งที่นำมาต่อเข้ากับต้น 11 ข้าพเจ้าถามอีกว่าพวกเขาสะดุดล้มจนลุกไม่ขึ้นหรือ? ไม่ใช่เลย! แต่เพราะการล่วงละเมิดของเขา ความรอดจึงมาถึงคนต่างชาติเพื่อให้อิสราเอลอิจฉา 12 แต่ถ้าการล่วงละเมิดของเขาหมายถึงความไพบูลย์สำหรับโลก และการสูญเสียของเขาหมายถึงความไพบูลย์สำหรับคนต่างชาติแล้ว ความบริบูรณ์ของเขาจะยิ่งนำความไพบูลย์มาให้มากมายเพียงใด! 13 […]
โรม 12
เครื่องบูชาอันมีชีวิต 1 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เมื่อพิจารณาถึงพระเมตตาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายถวายตัวของท่านแด่พระเจ้าเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์และที่พระเจ้าพอพระทัย นี่เป็นการนมัสการที่แท้จริง 2 อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์และยืนยันได้ว่าสิ่งใดคือพระประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดีอันเป็นที่พอพระทัยและสมบูรณ์พร้อมของพระองค์ 3 เพราะโดยพระคุณซึ่งได้ประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่พวกท่านทุกคนว่าอย่าคิดประเมินตนเองสูงกว่าที่ควร แต่จงคิดประเมินตนอย่างมีสติตามระดับความเชื่อที่พระเจ้าได้ประทานแก่ท่าน 4 เราแต่ละคนมีกายเดียวซึ่งประกอบด้วยอวัยวะหลายอย่าง และอวัยวะเหล่านั้นล้วนมีหน้าที่ไม่เหมือนกันฉันใด 5 ในพระคริสต์พวกเราซึ่งมีกันหลายคนก็ประกอบเข้าเป็นกายเดียว และแต่ละอวัยวะก็เป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะทั้งหมดฉันนั้น 6 เรามีของประทานแตกต่างกันตามพระคุณที่ได้ประทานแก่เรา ถ้าผู้ใดมีของประทานด้านการเผยพระวจนะ ก็ให้ผู้นั้นใช้ของประทานนี้ตามขนาดความเชื่อที่เขามี 7 ถ้ามีด้านการปรนนิบัติรับใช้ ก็ให้เขาปรนนิบัติรับใช้ ถ้ามีด้านการสั่งสอน ก็ให้เขาสั่งสอน 8 ถ้ามีด้านการให้กำลังใจ ก็ให้เขาให้กำลังใจ ถ้ามีด้านการช่วยเหลือในสิ่งที่ผู้อื่นขัดสน ก็ให้เขาให้ด้วยใจกว้างขวาง ถ้ามีด้านการเป็นผู้นำ ก็ให้เขาปกครองด้วยความเอาใจใส่ ถ้ามีด้านการแสดงความเมตตา ก็ให้เขาทำด้วยใจยินดี ความรัก 9 จงรักด้วยใจจริง จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี 10 จงรักกันฉันพี่น้อง จงให้เกียรติกันและกันโดยถือว่าผู้อื่นดีกว่าตน 11 อย่าขาดความกระตือรือร้น แต่จงรักษาความร้อนรนฝ่ายจิตวิญญาณของท่านไว้และรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า 12 จงชื่นชมยินดีในความหวัง อดทนต่อความทุกข์ยากและสัตย์ซื่อในการอธิษฐาน 13 […]
โรม 13
การยอมเชื่อฟังผู้มีอำนาจปกครอง 1 ทุกคนต้องยอมตนเชื่อฟังผู้มีอำนาจปกครอง เพราะไม่มีผู้ใดมีอำนาจเว้นแต่พระเจ้าได้ทรงสถาปนา ผู้มีอำนาจต่างๆ ที่มีอยู่ ล้วนได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้า 2 ฉะนั้นผู้ที่กบฏต่อผู้มีอำนาจก็กำลังกบฏต่อผู้ที่พระเจ้าได้ทรงสถาปนา และผู้ที่ทำเช่นนั้นจะนำโทษมาสู่ตนเอง 3 เพราะว่าผู้ปกครองบ้านเมืองนั้นไม่น่ากลัวสำหรับคนที่ทำถูก แต่น่ากลัวสำหรับคนที่ทำผิด ท่านอยากจะพ้นจากความกลัวผู้มีอำนาจใช่ไหม? ถ้าเช่นนั้นก็จงทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วเขาจะชมเชยท่าน 4 เพราะเขาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ สุขของท่าน แต่ถ้าท่านทำผิดก็จงกลัวเถิด เพราะเขาไม่ได้ถือดาบไว้เฉยๆ เขาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า เป็นตัวแทนของพระพิโรธที่จะนำการลงโทษมาสู่ผู้กระทำผิด 5 ฉะนั้นเราจึงต้องยอมเชื่อฟังผู้มีอำนาจไม่เพียงเพราะกลัวการลงโทษ แต่เพราะเห็นแก่จิตสำนึกด้วย 6 และนี่คือเหตุผลที่ท่านเสียภาษี เพราะผู้มีอำนาจเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ผู้ให้เวลาทั้งหมดของตนในการปกครองบ้านเมือง 7 จงให้แก่ทุกคนในสิ่งที่ท่านติดค้างเขาคือ ถ้าท่านติดค้างส่วยสาอากร จงเสียส่วยสาอากร ถ้าติดค้างภาษี จงเสียภาษี ถ้าควรให้ความเคารพ จงให้ความเคารพ ถ้าควรให้เกียรติ จงให้เกียรติ จงรักกันเพราะวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว 8 อย่าติดค้างเป็นหนี้ใคร เว้นแต่หนี้ซึ่งไม่อาจจ่ายคืนได้หมด คือความรักที่มีต่อกันและกัน เพราะผู้ที่รักเพื่อนมนุษย์ก็ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติอย่างครบถ้วนแล้ว 9 พระบัญญัติที่ว่า “อย่าล่วงประเวณี” “อย่าฆ่าคน” “อย่าลักขโมย” “อย่าโลภ”และพระบัญญัติอื่นๆ ล้วนรวมอยู่ในข้อนี้คือ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” 10 […]
โรม 14
ผู้อ่อนแอและผู้เข้มแข็ง 1 จงยอมรับผู้ที่อ่อนแอในความเชื่อโดยไม่ตัดสินเขาในเรื่องที่มีความเห็นแตกต่างกัน 2 คนหนึ่งเชื่อว่ากินได้ทุกอย่าง แต่อีกคนหนึ่งซึ่งมีความเชื่ออ่อนแอกินแต่ผักเท่านั้น 3 คนที่กินทุกอย่างอย่าดูถูกคนที่ไม่กิน และคนที่ไม่กินก็อย่ากล่าวโทษคนที่กิน เพราะพระเจ้าทรงยอมรับเขาแล้ว 4 ท่านเป็นใครเล่าที่จะตัดสินบ่าวของคนอื่น? เขาจะได้ดีหรือล้มเหลวก็แล้วแต่นายของเขา และเขาจะได้ดีเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสามารถทำให้เขาได้ดี 5 คนหนึ่งถือว่าวันหนึ่งศักดิ์สิทธิ์กว่าอีกวันหนึ่ง ส่วนอีกคนถือว่าทุกวันเหมือนกันหมด แต่ละคนควรแน่ใจในความคิดเห็นของตนอย่างเต็มที่ 6 ผู้ที่ถือวันหนึ่งวันใดเป็นพิเศษก็ถือเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่กินเนื้อก็กินเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะเขาขอบพระคุณพระเจ้า และผู้ที่ไม่กินก็ไม่กินเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและขอบพระคุณพระเจ้า 7 เพราะไม่มีพวกเราสักคนที่มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองเท่านั้น และไม่มีพวกเราสักคนที่ตายเพื่อตัวเองเท่านั้น 8 ถ้าเราอยู่ เราก็อยู่เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และถ้าเราตาย เราก็ตายเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นไม่ว่าเราจะอยู่หรือตาย เราก็เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า 9 เพราะเหตุนี้เองพระคริสต์จึงสิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์ เพื่อพระองค์จะทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของทั้งคนตายและคนเป็น 10 แล้วท่านเล่าทำไมจึงตัดสินพี่น้องของตน? เหตุใดจึงดูถูกพี่น้องของตน? เพราะพวกเราทั้งหมดจะต้องยืนอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า 11 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ทุกคนจะคุกเข่ากราบลงต่อหน้าเรา ทุกลิ้นจะสารภาพต่อพระเจ้า’ ” 12 ดังนั้นแล้วพวกเราแต่ละคนจะต้องทูลให้การเรื่องราวของตนเองต่อพระเจ้า 13 เหตุฉะนั้นให้เราเลิกตัดสินกัน แต่จงตัดสินใจว่าจะไม่วางสิ่งที่ทำให้สะดุดหรือวางเครื่องกีดขวางในทางของพี่น้อง 14 ในฐานะผู้ที่อยู่ในองค์พระเยซูเจ้า ข้าพเจ้าแน่ใจอย่างเต็มที่ว่าไม่มีอาหารใดเป็นมลทินในตัวของมันเอง แต่ถ้าใครถือว่าสิ่งใดเป็นมลทิน สิ่งนั้นก็เป็นมลทินสำหรับเขา […]